ในปี 2025 แม้เศรษฐกิจไทยจะอยู่ในภาวะถดถอย ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดตัวและลดจำนวนพนักงาน จนเกิดการว่างงานจำนวนมาก แต่ธุรกิจแฟรนไชส์กลับเติบโตสวนกระแส โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมาคือเครื่องดื่มและไอศกรีม จากข้อมูล Google Trends พบว่าแฟรนไชส์เหล่านี้คือแบรนด์ที่คนไทยค้นหามากที่สุด

 

 

Yoguruto เป็นแฟรนไชส์โยเกิร์ตสดปั่นสไตล์ญี่ปุ่น ก่อตั้งปี 2563 โดยมีแนวคิดสร้างโยเกิร์ตที่อร่อย ทานง่าย และเข้าถึงได้ทุกวัน จุดเด่นคือราคาย่อมเยา เริ่มต้นเพียง 49 บาท มีระดับความหวานให้เลือกถึง 6 ระดับ และท็อปปิ้งกว่า 27 ชนิด

 

สินค้าหลักแบ่งเป็นหมวด Original, ธัญพืช, เบอร์รี่, ผลไม้ตามฤดูกาล, อโวคาโด และ Superfood Series รวมถึงไอศกรีมโฮมเมดกว่า 20 รสชาติ และเบเกอรี่หลากหลายชนิด
 

Yoguruto ใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการพัฒนาสูตรเฉพาะ ทำให้รสชาติหอมหวาน เข้มข้น และเนื้อนุ่มเนียนละเอียด ภาพลักษณ์ร้านโดดเด่นด้วยสไตล์ญี่ปุ่น เฟอร์นิเจอร์ลายไม้ และมาสคอต “โยกุบอย” ที่สร้างการจดจำได้ง่าย

 

โมเดลแฟรนไชส์เริ่มต้นที่ 125,000 บาท สัญญา 3 ปี ใช้งบลงทุนราว 700,000–1,000,000 บาท พร้อมค่ารอยัลตี้ฟีส์และค่าการตลาด 2.5% ต่อเดือน ปัจจุบันมีสาขา 148 แห่งทั่วประเทศ

 

Yoguruto ยังมีความยืดหยุ่นในการเลือกทำเล เปิดร้านได้ทั้งในห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด หรือชุมชนใกล้มหาวิทยาลัย เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนแฟรนไชส์ที่เริ่มง่ายและคืนทุนเร็ว

 

 

ภาพจาก www.facebook.com/malaguanyu

หม่าล่ากวนอู ก่อตั้งปี 2560 โดย ชัยพันธุ์ ไวยพันธุ์ (เบนซ์) นำสูตรหม่าล่าต้นตำรับจากจีนมาพัฒนาต่อยอด ลดความเค็มแบบดั้งเดิมและเพิ่มความเผ็ดให้ถูกปากคนไทย ใช้สมุนไพรนำเข้ากว่า 18 ชนิด ทำให้รสชาติหอม เผ็ด ชา เป็นเอกลักษณ์

 

ปัจจุบันมีสาขากว่า 303 แห่งทั่วประเทศ จุดเด่นคือค่าแฟรนไชส์เพียง 4,999 บาท เมนูเริ่มต้นไม้ละ 10–11 บาท พร้อมซอสสูตรเฉพาะและพริกหม่าล่า 2 กิโลกรัมที่ผู้ลงทุนสามารถขายได้มากกว่า 1,200 ไม้

 

กลยุทธ์ของหม่าล่ากวนอูคือ ลงทุนต่ำ คืนทุนไว และเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม เหมาะกับตลาดนัด ฟู้ดทรัค และพื้นที่ขนาดเล็ก นอกจากนี้แบรนด์ยังสอนเทคนิคการตลาด การจัดวางร้าน และการบริหารจัดการสต็อก ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสสร้างรายได้ต่อเนื่อง

 

 

One to Two Coffee ก่อตั้งจากเชียงราย ภายใต้แนวคิด “Everyday Coffee” เน้นกาแฟคุณภาพสูงที่ดื่มได้ทุกวัน ไม่ใช่เพียงสินค้าพิเศษเฉพาะโอกาสเท่านั้น ชื่อแบรนด์มาจากอัตราส่วนการสกัดกาแฟ 1:2 สะท้อนรสชาติสมดุล

 

ปัจจุบันมีสาขา 55 แห่งทั่วประเทศ เน้นทำเลศูนย์การค้า ย่านออฟฟิศ และย่านที่อยู่อาศัย กาแฟเริ่มต้น 55 บาท พร้อมเมนูชา โกโก้ และเครื่องดื่มอื่น ๆ

One to Two Coffee ไม่เน้นโมเดลแฟรนไชส์ แต่ใช้การลงทุนของนักลงทุนและการ Re-invest กำไรของบริษัท เพื่อควบคุมคุณภาพสินค้าและมาตรฐานบริการในทุกสาขา ทำให้แบรนด์รักษาความน่าเชื่อถือและความสมดุลของรสชาติได้ต่อเนื่อง

 

 

ชาตรามือ แบรนด์ชาสัญชาติไทยเก่าแก่กว่า 75 ปี มีบทบาทสำคัญในการผลักดันชาไทยให้เป็นที่รู้จักระดับโลก ขยายสาขาในต่างประเทศกว่า 11 ประเทศ ปัจจุบันรายได้รวมประมาณ 3,000 ล้านบาท

 

ในไทย ชาตรามือตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 250 แห่งภายในปี 2568 แต่ไม่มีนโยบายขายแฟรนไชส์ในประเทศโดยตรง กลยุทธ์คือรักษาแบรนด์และมาตรฐานสินค้า ในขณะที่เน้นขยายแฟรนไชส์ในต่างประเทศเป็นหลัก

 

ผู้ที่สนใจเปิดร้านในไทยสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ชาตรามือได้ แต่ต้องตั้งชื่อร้านเอง ไม่ใช้โลโก้หรือชื่อแบรนด์โดยตรง

 

 

WashXpress ร้านสะดวกซักครบวงจร ก่อตั้งปี 2561 ใช้เครื่องซักและอบมาตรฐานอุตสาหกรรมจากแบรนด์ Speed Queen พร้อม Call Center และแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้า

ปัจจุบันมีสาขา 516 แห่ง แบ่งเป็นสาขาบริษัท 436 แห่ง และแฟรนไชส์ 80 แห่ง โมเดลธุรกิจแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ร้านสะดวกซัก, แฟรนไชส์, และจำหน่ายเครื่องซัก-อบผ้า

ปี 2567 รายได้ 824 ล้านบาท กำไร 83 ล้านบาท เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นร้านสะดวกซักรายแรกที่ IPO แสดงศักยภาพเติบโตในระยะยาว

 

 

MIXUE แบรนด์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและเครื่องดื่มจากจีน เข้ามาในไทยปลายปี 2565 และขยายแฟรนไชส์ตั้งแต่ปี 2566 มีสาขา 480 แห่ง

 

กลยุทธ์สำคัญคือ ราคาหลักสิบ ใช้พื้นที่ขนาดเล็ก ลงทุนต่ำ และขยายสาขาเร็ว ปัจจุบัน MIXUE มีสาขามากที่สุดในโลกกว่า 45,300 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ MIXUE สร้างรายได้สูงในไทยและเอเชีย โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม

 

 

กาแฟพันธุ์ไทย ก่อตั้งปี 2555 ภายใต้เครือ PTG เน้นใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพสูงจากดอยช้าง อาราบิก้าแท้ 100% สนับสนุนเกษตรกรไทยและรักษาสิ่งแวดล้อม
 

มีรูปแบบแฟรนไชส์ 5 โมเดล ตั้งแต่ Kiosk ขนาด 15 ตร.ม. ลงทุน 1.18 ล้านบาท ไปจนถึง Stand Alone ขนาด 60 ตร.ม. ลงทุน 3.43 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขากว่า 1,900 แห่ง วางแผนขยายเป็น 5,000 แห่งในปี 2571 และเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์

 

 

ศรีฟ้าเบเกอรี่ เริ่มปี 2529 ในตลาดท่าเรือ จ.กาญจนบุรี จุดเด่นคือพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมร่วมพันธมิตร ปัจจุบันมีแฟรนไชส์ 62 แห่ง รายได้รวมกว่า 810 ล้านบาท
 

กลยุทธ์สำคัญคือพัฒนารสชาติให้ทันสมัย ลงทุนเครื่องจักรและ R&D เจาะตลาด Frozen Bakery และร่วมมือ Minor Food Group และ Europastry ผู้ลงทุนแฟรนไชส์ได้รับการอบรม การตลาด และวัตถุดิบคุณภาพสูง

 

 

 

แฟรนไชส์ไส้กรอกอีสานมีหลายแบรนด์ด้วยพัน แต่ขอแนะนำแฟรนไชส์ “ไส้กรอกแม่ไก่” ชื่อดัง ก่อตั้งปี 2550 ใช้เนื้อหมูคุณภาพ ผสมเครื่องเทศไทย ต้นตำรับจากครอบครัว ผ่านกระบวนการผลิตในโรงงานมาตรฐาน GMP พร้อมควบคุมคุณภาพด้วยค่าความเป็นกรดด่าง (pH) 5.0 ปัจจุบันมีสาขา 217 แห่ง

 

ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 1,795 บาท พร้อมอุปกรณ์ วัตถุดิบ และอบรมครบชุด รูปแบบลงทุนยืดหยุ่น เหมาะกับตลาดนัด ฟู้ดทรัค และศูนย์การค้า

 

 

WEDRINK แฟรนไชส์ไอศกรีมและชาผลไม้จากจีน ก่อตั้งปี 2555 มีสาขา 5,150 แห่งทั่วโลก ครอบคลุมประเทศจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ลาว และไทย สำหรับในประเทศไทย แบรนด์บริหารโดยบริษัท ซินเจิ้ง เมนเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบันมีจำนวน 150 แห่ง

 

จุดเด่นคือเมนูหลากหลาย ราคา 15–60 บาท เหมาะกับนักศึกษาและผู้บริโภครุ่นใหม่ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น 1,310,000 บาท ครอบคลุมแฟรนไชส์ อุปกรณ์ วัตถุดิบ และฝึกอบรม

แบรนด์มุ่งเน้นเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่มด้วยราคาย่อมเยา และขยายสาขาอย่างรวดเร็ว 

 

 

จะเห็นได้ว่าธุรกิจแฟรนไชส์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2025 โดยมีทั้งแบรนด์ไทยดั้งเดิมและแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาแข่งขัน ข้อดีของแฟรนไชส์คือการลงทุนมีความหลากหลาย เหมาะกับงบในกระเป๋าของแต่ละคน มีระบบสนับสนุนครบวงจร และสามารถสร้างรายได้ได้อย่างรวดเร็วในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

 

อ้างอิงข้อมูล 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)