เชื่อว่าน่าจะเป็นปัญหาที่แก้เท่าไหร่ก็ยังไม่หาย สำหรับสินค้าขายดีแล้วอีกสักพักจะต้องมีสินค้าที่ใกล้เคียงกันออกมาแข่งขัน แม้ส่วนใหญ่จะมีการจดลิขสิทธิ์ทางการค้า แต่ขึ้นชื่อว่าการก็อปปี้บางทีก็ไม่สนหรอกว่าจะจดทะเบียนอะไรมา ข้อแก้ตัวก็ชัดเจนว่า ไม่ได้ทำสินค้าที่เหมือนกันแค่คล้ายๆกัน ดังนั้นไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ใคร

ซึ่งความจริงที่น่าเจ็บปวดอีกอย่างคือลูกค้าส่วนใหญ่มักนิยมของก็อปปี้ซะด้วย เหตุผลง่ายๆคือราคาถูกกว่า และสินค้าบางอย่างก็อปปี้มาแต่ดันทำได้ดีกว่าเจ้าของแบรนด์เดิมถูกใจลูกค้ามากกว่า ซึ่งก็น่าเห็นใจเจ้าของผลิตภัณฑ์ตั้งต้นที่อุตส่าทุ่มเทแรงใจแรงกายคิดค้นสินค้าขึ้นมา แต่จู่ๆ ก็ถูกใครไม่รู้มาทำสินค้าเลียนแบบ แย่งส่วนแบ่งการตลาดเอาไป

 

หากคิดจะหาทางออกจากปัญหาที่น่ารำคาญนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่าการจะไปแก้ปัญหาที่ปลายทางคือไปห้ามไม่ให้คนมาลอกเลียนแบบก็คงทำได้ยากสิ่งที่ทำได้คือแก้ปัญหาที่ตัวของแบรนด์เอง ซึ่งมีเทคนิคดีๆมาแนะนำด้วยกัน 3 ประการคือ

 

1.สร้างแบรนด์ตัวเองให้แข็งแรง
 

จำไว้เสมอว่าสินค้าก็อปปี้ได้แต่แบรนด์ก็อปปี้ไม่ได้ นั่นหมายถึงเราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่นใน “แบรนด์” ของเรา ต้องทำให้ลูกค้าจดจำ และรู้สึกภักดีต่อแบรนด์ วิธีการที่จะเข้าไปสร้างความเชื่อมั่นเชื่อใจได้นั้น คือ “ต้องไม่หยุดเข้าหาลูกค้า” อย่ารอให้ลูกค้าเดินมาหาเรา เราต้องออกไปสร้างความรู้จัก คุ้นเคยกับลูกค้า ในแต่ละปีมีงานอีเว้นท์มากมาย เราในฐานะเจ้าของแบรนด์ต้องพยายามเข้าร่วมงานเหล่านี้ให้มากที่สุด อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์ อย่าคิดว่าเสียเวลา

ที่สำคัญเราต้องมีสโลแกน นิยามของแบรนด์ที่ฮิตติดปาก ยิ่งทำให้ลูกค้าท่องจำขึ้นใจมากเท่าไหร่ได้ยิ่งดี เราจะสังเกตว่าแบรนด์ใหญ่ระดับโลกเขาก็เจอปัญหาสินค้าโดนก็อปปี้มาทั้งนั้นแต่ทำไมเขายังอยู่ได้ เพราะว่าแบรนด์เขายังไม่ตาย ลูกค้าซื้อเพราะเชื่อว่านี่คือแบรนด์ที่เขาวางใจ สินค้าก็อปปี้อาจจะหวือหวามาชั่วพักชั่วครู่ แต่เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่าแบรนด์เราคือของจริง ที่จะอยู่คู่กับลูกค้าไปอีกนานแสนนาน

 

2.พัฒนาสินค้าให้ต่อเนื่องถ้าหยุดคือยอมแพ้
 

เส้นทางของธุรกิจก็ไม่ต่างจากการเป็นนักวิ่งหากเริ่มออกสตาร์ทแล้วต่อให้เจอคู่แข่งแบบไหนทั้งคู่แข่งโดยตรงหรือคนที่ก็อปปี้ สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่หยุดและยอมแพ้ การลงทุนในเชิงธุรกิจต้องไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือสินค้าระดับโลกมากมายทำไมถึงมีเวอร์ชั่นใหม่ๆ ออกมาต่อเนื่อง บางสินค้าเปิดตัวแค่ 3-4 เดือนก็มีสินค้าตัวใหม่ออกมาอีกแล้ว

หรือแม้แต่ในธุรกิจอาหารเครื่องดื่มเองก็ตามเราจะเห็น สูตรใหม่ รสชาติใหม่ แพคเกจใหม่ สิ่งเหล่านี้คือนวัตกรรมที่เราต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้นำอยู่เสมอ การทำธุรกิจอย่าไปคิดว่าใครเป็นคู่แข่งเรา เราต้องคิดว่าเราแข่งกับตัวเอง ทำสินค้าให้ดี ให้มีความแปลกใหม่ อย่าหยุดนิ่งและตายใจกับสินค้าเดิมๆ แม้จะเคยขายดีแต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะดีไปถึงในอนาคต

 

3.พันธมิตรดีโดนก็อปปี้ก็ไม่สะเทือน
 

ห้ามดูถูกพลังของมิตรภาพเด็ดขาด ในโลกธุรกิจเราไม่อาจยืนโดดเดี่ยวได้ ไม่ว่าจะทำธุรกิจเล็กหรือใหญ่เราจำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ด้วยกันทั้งนั้น ข้อดีของการมีพาร์ทเนอร์ไม่ใช่แค่ช่วยในเรื่องการผลิต หรือต้นทุนเท่านั้น พันธมิตรที่ดียังคอยเป็นหูเป็นตา ช่วยเหลือส่งเสริมกันและกัน รวมถึงยังช่วยโปรโมทสินค้าของพันธมิตรในช่องทางของกันและกัน

คำว่าพันธมิตรไม่ได้หมายความถึงในหมู่นักธุรกิจด้วยกัน เรารวมไปถึงหน่วยงานราชการต่างๆ ที่พร้อมช่วยเหลือเราได้มาก และการรวมตัวกันที่เป็นปึกแผ่นก่อให้เกิดอำนาจการขายที่ดี และหากเรามีพันธมิตรที่แข็งแรงย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังทางธุรกิจที่แม้จะมีสินค้ามาก็อปปี้ก็จะกลายเป็นแค่ก้อนหินเล็กๆ ที่วิ่งมาชนภูเขาใหญ่ อย่างไรก็ไม่มีทางสะเทือนแน่นอน

 

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีสูง โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การทำธุรกิจก็ต้องก้าวตามกระแสเหล่านี้ให้ทันอย่าไปยึดติดว่าใครจะมาท้าแข่งกับเราเพราะหากมัวแต่พะวงกับคู่แข่งอาจทำให้เราละเลยสิ่งสำคัญคือลูกค้า ธุรกิจยุคใหม่มุ่งเอาใจลูกค้าเป็นหลัก เราไม่ได้แข่งว่าใครมาก่อนมาหลัง แต่เราแข่งว่าใครจะครองใจลูกค้าได้มากกว่ากันคนนั้นก็คือผู้ชนะ

 

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S

 

นักเขียน

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)