บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    Startups    การพัฒนาและการออกแบบ
1.8K
2 นาที
15 มกราคม 2562
แล้วคุณเลือกสายไหน iPhone vs Android
 

ต้องบอกก่อนว่าตอนนี้เวลาเจอใครมักถามกันก่อนว่า คุณอยู่สายไหน สาย iPhone หรือสาย Android จริง ๆ ส่วนตัวผมอยู่ฝั่ง Android มาตลอดเลย เพราะเป็นคนที่ใช้ Google suite ทั้ง Gmail, Calendar, Google Drive ที่ใช้ทั้ง Docs, Sheets, Slides และอื่น ๆ อีกหลายตัว แต่ก็ยังมีมือถืออีกเครื่องหนึ่งของฝั่ง Apple คือผมใช้ iPad เป็นเครื่องมือหลักในการทำงาน

ฉะนั้นจึงเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ Android กับ iOS โดยเฉพาะคนที่ทำงานสายเทคโนโลยีจะอยู่ในสายใดสายหนึ่งเลยไม่ได้ บางครั้งก็ปวดหัวเวลาที่ต้องเป็นลูกครึ่งระหว่าง Android กับ iPhone ทำให้บางครั้งการทำอะไรบางอย่างก็จะเป็นลูกครึ่งด้วยเหมือนกัน 
 
ปัญหาเรื่องการใช้งานแบบลูกครึ่งสำหรับบางคนคือเรื่องของการส่งรูปภาพระหว่างเครื่องมือ เช่น รูปจากมือถือจะส่งไปไอแพด หรือไอแพดมามือถือหรือเข้าคอมพิวเตอร์ ต้องส่งกันไปมาหลายทอด ต้องอัปขึ้นคลาวด์ก่อน ฯลฯ หรือปัญหาอีกอย่างก็คือบางครั้งที่อยากที่จะใช้พวกนาฬิกา Apple Watch แต่มือถือหลักของเราเป็น Android  มันคุยกันไม่ได้ ซึ่งตัว Apple Watch ตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมานั้นน่าสนใจมากเลย

ตัวนี้เหมาะมากกับผู้ใหญ่ที่มีอายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป เพราะมีความสามารถที่จะจับได้ว่าผู้ที่สวมใส่อยู่นั้นมีการล้มหรือไม่ หากมีการล้มลงลูกหลานหรือคนใกล้ชิดจะสามารถทราบได้ในทันที ผมอยากแนะนำให้ลองใช้แต่ติดอยู่ที่แค่ว่าต้องเชื่อมกับมือถือระบบ iOS เท่านั้น

 
เมื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ รอบตัวเราในวันนี้แบ่งออกเป็น 2 ค่ายหลัก ๆ คือ iPhone กับ Android และ iPhone เองก็เพิ่งเปิดตัวออกมาใหม่ 3 รุ่นคือ iPhone Xs, iPhone Xs Max และ iPhone Xr ในตอนนี้ iPhone X รุ่นก่อนหน้าได้เลิกผลิตไปแล้วด้วย ถ้าใครต้องการอยากจะใช้คงต้องมาใช้ตัว iPhone Xs หรือ iPhone Xs Max แทน หรือจะมาใช้ตัว iPhone Xr เลยก็ได้ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าน่าสนใจมาก แต่การขยับของ Apple ในครั้งนี้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการเข้า process ปกติของ Apple ซึ่งก็คือ minor change เป็นการเปลี่ยนที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเยอะมาก

 
ข้อดีของ minor change คือฝ่ายการผลิต Value chain จะสามารถผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ เคส หน้าจอ ฯลฯ คล้ายของเดิมได้ ทำให้ต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยถูกลงไปมาก ดังนั้น การออกเป็นรุ่นย่อย ๆ ออกมาถือว่าเป็นการต่อยอดให้สินค้านั้นมีอายุต่อได้อีกหนึ่งปี ทำให้ระบบนิเวศของมือถือตัวนั้นสามารถอยู่ต่อได้ สังเกตให้ดี ๆ ทาง Samsung เองก็เริ่มที่จะมาในแนวทางนี้ด้วยเหมือนกัน

สังเกตจากฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ทางซัมซุงออกมาแต่ละรุ่นจะแตกต่างกันนิดเดียว ซึ่งเมื่อก่อน Samsung จะเป็นการเปลี่ยนแบบ major change ในทุก ๆ ปีซึ่งก็จะพบปัญหาว่าอุปกรณ์ใช้กับตัวเดิมไม่ได้ นี่คือความชาญฉลาดของการคำนึงถึงระบบ supply chain ในการผลิตว่าทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดและมีกำไรมากที่สุด ซึ่งทิม คุก เก่งมากในเรื่องพวกนี้ 

 
ฉะนั้น ในแง่ของโทรศัพท์จะเห็นว่าโลกได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน แต่ทั้งสองฝ่ายมันต่างกันโดยสิ้นเชิงในเรื่องของระบบนิเวศหรือภาพรวมทั้งหมด ฝั่ง Apple ผลิตโทรศัพท์เอง ควบคุมการผลิตเองทุกอย่าง รายได้เป็นของ Apple เองทั้งหมด

ในขณะที่ฝั่ง Google เป็นเพียงผู้ผลิต OS ขึ้นมาไม่ได้ลงในส่วนของฮาร์ดแวร์มากเท่าใดนัก หน้าที่ของ Google คือพยายามผลิตระบบนิเวศ ทำซอฟต์แวร์ให้ดีที่สุดเพื่อผู้ผลิตมือถือจะสามารถเอาซอฟต์แวร์ของตนเองเข้าไปใช้ได้ Google จะมีรายได้จากการที่คนเข้ามาใช้ซอฟต์แวร์ของตนเอง เช่น Google Map, Gmail, Hangouts, Chrome ฯลฯ

จะสังเกตว่าในฝั่งของ Google จะมีแอปพลิเคชันที่มียอดดาวน์โหลดและจำนวนคนใช้ทะลุเกินคนพันล้านคนอยู่หลายตัวมาก ภาพรวมหากเปรียบเทียบง่าย ๆ คือในฝั่ง Google จะเก่งเรื่องซอฟต์แวร์มากแต่ในฝั่ง Apple จะเก่งในทางฮาร์ดแวร์มาก ทางฝั่ง Apple เองก็พยายามพัฒนาตัวเองให้เก่งด้านซอฟต์แวร์ด้วย และเช่นกัน Google เองก็พยายามพัฒนาให้เก่งฮาร์ดแวร์และพยายามจะเป็นระบบเปิดด้วยเหมือนกัน

 
ตรงนี้แหละคือคำถามว่าคุณจะอยู่ในฝั่งไหน ซึ่งผมว่าถ้าหากต้องการความง่าย ความสะดวกก็อยู่ในฝั่ง Apple แต่ข้อเสียก็คือคุณก็ต้องถูกผูกอยู่ในระบบ ออกมาข้างนอกไม่ได้ ซึ่งหากใช้อุปกรณ์ทุกอย่างของ Apple ข้อดีก็คือทุกอย่างจะผสานเข้าด้วยกันหมดแล้ว แต่ถ้าใช้ Android ทุกอย่างอาจจะกระจัดกระจายสักหน่อย เพราะเขาเป็นเพียงผู้ผลิต OS จึงไม่สามารถควบคุมระบบนิเวศทั้งหมดได้

จึงขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะใช้ตัวไหน การที่ Apple ออก iPhone ซีรีส์ใหม่นั้นเป็นการตอกย้ำความพยายามที่จะฉีกตัวเองว่า ฉันคือไฮเอนด์แบรนด์มาก ๆ แม้ว่าราคาเกือบ ๆ ครึ่งแสนคนก็ยังจะซื้อ แต่ทาง Apple เองก็มีอีกกลยุทธ์หนึ่งคือพยายามปล่อยรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 7 หรือ iPhone  8 ให้มีราคาที่ต่ำลงเพื่อให้เป็น fighting brand คือถ้าลูกค้ามีเงินไม่มากนักก็ยังซื้อเวอร์ชันเหล่านี้ได้ 
 
ราคา iPhone ในสมัยสตีฟ จ็อบส์กับสมัยนี้ต่างกันลิบลับ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลายท่านก็ยังจะซื้อเพราะนี่เป็น iPhone ตัวใหม่และยังจอใหญ่อีกด้วย คนเป็นสาวกอย่างไรก็ยังซื้อยังจะชอบอยู่ ซึ่งบอกได้ชัดเลยว่าบางครั้งการถือโทรศัพท์สามารถแสดงอะไรบางอย่าง

อย่างตอนนี้ที่ iPhone พยายามเน้นเรื่องนี้คือบ่งบอกสถานะของผู้ใช้ว่า ฉันแตกต่างจากคนอื่น เพราะหากไปเจาะดูฮาร์ดแวร์แต่ละตัวที่ Apple นำมาใช้เทียบกันดูจะเห็นว่าไม่ได้แตกต่างจากของ Android ที่ราคาแค่หมื่นต้น ๆ เทคโนโลยีของฝั่ง Apple หากเอามาเทียบกับฝั่ง Android บางอย่างช้ากว่าด้วยซ้ำไป

 
แต่หากว่าคุณไม่ได้รีบร้อนมากนัก สามารถรอได้หรือรอให้ technology cycle ประมาณหนึ่งปีคุณจะจ่ายถูกกว่าเดิมเกือบครึ่งหนึ่งเลย โดยเฉพาะฝั่ง Android ราคาจะตกลงเร็วมากซึ่งผู้ซื้อต้องทำใจเพราะคู่แข่งเยอะกว่า

ในขณะที่ฝั่ง Apple เป็นแบรนด์ที่ทำอยู่คนเดียว สามารถควบคุมกลไกราคาได้ ควบคุมร้านค้าที่จะนำไปขายได้ เป็นความได้เปรียบที่สามารถควบคุมระบบนิเวศ ระบบการทำธุรกิจแบบเบ็ดเสร็จได้ตามคอนเซปต์ของสตีฟ จ็อบส์ ที่ธุรกิจทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำสามารถควบคุมได้หมดทุกอย่าง นี่คือการต่อสู้กันของ 2 business model คือของฝั่ง Google ที่เป็นแบบเปิด และของฝั่ง Apple ที่เป็นระบบปิด 
 
สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่ที่คุณเองแหละว่า อยากใช้แบบไหน หรือ อยากจะอยู่ฝั่งใคร อย่าเพิ่งปวดหัวกันไปซะก่อนนะครับ
 

รูปภาพจาก  goo.gl/zW1tYH
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
จับเทรนด์ยุคใหม่ เลิกกลัว AI แย่งงาน แต่ให้กลัวค..
2,811
รวมธุรกิจเสือลำบาก ปี 2567/2024 โหดจัด ไปไม่รอด!
1,443
โหดจัด! ฟาสต์ฟู้ดจีน ไล่แซงแบรนด์ตะวันตก
743
เศรษฐกิจทรุดครึ่งปี! เลิกจ้างงานนับหมื่น บริษัทฯ..
663
รวมวิธีคิดเหนือชั้นทำให้รู้ว่า “ธุรกิจติดตลาด” ห..
582
10 ไอเดียแคมเปญโปรโมชั่น ร้านอาหาร เพิ่มยอดขาย ฉ..
517
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด