บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    บัญชี ภาษี
2.5K
4 นาที
28 มกราคม 2562
การลดหย่อนภาษี 2561 มีอะไรบ้าง 


 
ภาษีบุคคลธรรมดา 1
 
ใกล้เวลายื่นภาษีบุคคลธรรมดาแล้ว ต้องยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2562 วันนี้ขอนำเสนอ การลดหย่อนภาษี 2561 มีอะไรบ้าง รู้ไว้คำนวณภาษี ก่อนยื่นภาษี เพื่อยื่นภายใน 31 มีนาคม 2562 คราบ
 
ช่วงสิ้นปีเป็นช่วงที่มนุษย์เงินเดือน และบุคคลธรรมดาผู้มีรายได้ กำลังวางแผนจัดการภาษี เพื่อเตรียมยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2561 ในช่วงต้นปี 2562 ซึ่งถ้าเราทราบว่ามีค่าใช้จ่ายหรือสิทธิอะไรที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้ ก็จะช่วยให้เราเสียภาษีน้อยลง และในปีภาษี 2561 รัฐบาลก็ได้อนุมัติค่าลดหย่อนเพิ่มเติมอีกหลายประเภท  จึงขอสรุปรวมค่าลดหย่อนภาษี 2561 ทุกรายการมาแจกแจงให้ทราบกัน เพื่อให้เราได้ใช้สิทธิที่มีอย่างเต็มที่
 
การยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดา หมายถึงการยื่นแบบของเงินเดือน ของผู้บริหาร หรือเจ้าของบริษัทด้วยนะคราบ
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2561 ใครบ้างต้องยื่นแบบ ?
 
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ไม่ใช่ว่ามีเงินเดือนน้อยแล้วจะไม่ต้องยื่นแบบ เพราะจริง ๆ แล้วกรมสรรพากรได้กำหนดให้คนที่มีเงินได้แม้มีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็ต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายได้ด้วยเช่นกัน 
 
คนโสด
  • หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บา
  • หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
คนมีคู่
  • หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 220,000 บาท
  • หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท
มาเช็คอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2561 
 

ในปีภาษี 2561 จะใช้โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาเหมือนกับปี 2560 โดยกำหนดอัตราการเสียภาษีแบบขั้นบันได ตั้งแต่ 5-35% สำหรับผู้ที่มีเงินได้สุทธิที่ไม่เกิน 150,000 บาท ยังได้รับการยกเว้นภาษีเช่นเดิม ดังนั้นแล้วจึงเท่ากับว่า คนที่มีเงินเดือนประมาณ 25,833 บาทขึ้นไป หรือมีรายได้ตลอดทั้งปีไม่เกิน 310,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนตัวรวม 160,000 บาทแล้ว จะเหลือเงินได้สุทธิ 150,000 บาท ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี
 
แต่หากใครมีรายได้ตลอดทั้งปีมากกว่า 310,00 บาท ก็จะต้องเสียภาษี แต่จะเสียภาษีมาก-น้อยแค่ไหนนั้น ต้องมาคิดคำนวณจากค่าลดหย่อนที่เรามีด้วย
รายการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2561
 
การจะคำนวณหาเงินได้สุทธิของตัวเอง เราต้องหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ออกจากรายได้ในปีนั้นก่อน ซึ่งนอกจากรายการลดหย่อนภาษีที่เหมือนกับปี 2560 แล้ว ในปี 2561 ก็ยังมีเพิ่มเติมค่าลดหย่อนเข้ามาอีกหลายประเภท โดยเฉพาะเรื่องค่าลดหย่อนการคลอดบุตร และท่องเที่ยวเมืองรอง เราลองไปเช็นเงื่อนไขของแต่ละรายการกัน

กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
1. ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล

ใช้ลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท ทันทีที่เรายื่นแบบภาษี
 
2. ค่าลดหย่อนจากคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้

ใช้ลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท สำหรับสามี-ภรรยาที่จดทะเบียนสมรส โดยคู่สมรสต้องไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้แต่เลือกนำมาคำนวณภาษีพร้อมกัน ไม่ได้แยกยื่นแบบ
 
3. ค่าลดหย่อนบุตร

ค่าลดหย่อนจากการเลี้ยงดูบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่ คนละ 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ
  • หากเป็นบุตรตามกฎหมายสามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนบุตร
  • หากเป็นบุตรบุญธรรม สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน
  • หากมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรชอบด้วยกฎหมาย ให้นำบุตรชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดมาหักก่อน แล้วจึงนำบุตรบุญธรรมมาหัก รวมกันได้ไม่เกิน 3 คน
  • กรณีผู้มีเงินได้มีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีชีวิตอยู่รวมเป็นจำนวนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะนำบุตรบุญธรรมมาหักไม่ได้
นอกจากนี้ บุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีต้องมีคุณสมบัติตามนี้ด้วย
  • บุตรมีอายุอยู่ระหว่างแรกเกิดจนถึง 20 ปีในปีภาษีนั้น
  • ถ้าบุตรมีอายุระหว่าง 21-25 ปีในปีภาษีนั้น ต้องกำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป
  • ถ้าบุตรมีอายุ 25 ปีขึ้นไปในปีภาษีนั้น ต้องเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
  • บุตรต้องไม่มีเงินได้ในปีภาษีตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป (ยกเว้นเงินปันผล) หรือรายได้ที่มีนั้นได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เช่น บุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปี และรับเงินปันผล ซึ่งเงินปันผลนั้นจะถือว่าเป็นเงินของผู้ปกครอง และไม่ถือว่าบุตรมีรายได้
4. ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา-มารดา
 
ลดหย่อนจากบิดา-มารดา (ตัวเอง) และบิดา-มารดาคู่สมรส ได้คนละ 30,000 บาท มากสุดคือ 4 คน ไม่เกิน 120,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ
  • บิดา-มารดาต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท
  • หากเป็นบิดา-มารดาของคู่สมรส จะใช้ลดหย่อนภาษีได้ก็ต่อเมื่อคู่สมรสต้องไม่มีรายได้
ทั้งนี้ต้องให้บิดา-มารดาออกหนังสือรับรองการเลี้ยงดู (ลย.03) ให้กับบุตรที่จะขอลดหย่อนภาษีด้วย เพราะลูกที่จะรับสิทธิลดหย่อนภาษี จะสามารถใช้สิทธิได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เช่น หากลูกคนโตใช้สิทธินี้ไปแล้ว ลูกคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้อีก
 
5. ค่าอุปการะคนพิการหรือคนทุพพลภาพ

สามารถใช้ลดหย่อนได้สูงสุดคนละ 60,000 บาท หากเป็นผู้ที่ดูแลคนพิการตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องเป็นคนพิการซึ่งมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือเป็นคนทุพพลภาพที่มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
 
ทั้งนี้ หากผู้พิการหรือทุพพลภาพเป็นบิดา-มารดา-บุตร-คู่สมรสของผู้มีเงินได้ ก็สามารถใช้สิทธิควบคู่กันได้เลย เช่น บิดาอายุเกิน 60 ปี เป็นผู้พิการ ไม่มีรายได้ เราสามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด (30,000+60,000 บาท) เท่ากับ 90,000 บาท
 
หรือหากคู่สมรสเป็นผู้พิการและไม่มีรายได้ ก็สามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท (ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 + ค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ 60,000)

6. ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร

เป็นค่าลดหย่อนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในปีนี้ โดยกำหนดให้ผู้ที่มีเงินได้หรือคู่สมรส สามารถนำค่าใช้จ่ายฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ โดยมีเงื่อนไขคือ
  • เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตร ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจครรภ์ รับฝากครรภ์ ค่าบำบัดทางการแพทย์ ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์ ค่าทำคลอด ค่ากินอยู่ในโรงพยาบาล
  • นำมาหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง สูงสุดไม่เกินปีละ 60,000 บาท
  • สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับค่าใช้จ่ายที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
  • หากเป็นค่าคลอดบุตรในการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในปีภาษีเดียวกัน เช่น ตั้งครรภ์ปี 2561 แต่คลอดปี 2562 จะได้รับสิทธิลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริงในปีที่ใช้ แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 60,000 บาท
7. ค่าลดหย่อนบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป

ผู้มีเงินได้ หากมีบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่คลอดในปี 2561 สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 30,000 บาทต่อคน รวมเป็น 60,000 บาท ไม่ว่าบุตรคนแรกจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยค่าลดหย่อนนี้ประกาศใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2561

 
กลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน
1. ประกันสังคม

เงินสมทบกองทุนประกันสังคมที่เราโดนหักกัน 5% ทุกเดือน ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยลดหย่อนได้ตามจริงเท่าที่จ่ายไป มีเพดานสูงสุดอยู่ที่ปีละ 9,000 บาท (คำนวณจากรายได้สูงสุดที่เดือนละ 15,000 บาท)
 
2. เบี้ยประกันชีวิต

สำหรับการขอลดหย่อนด้วยการซื้อประกันชีวิตนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 กรณีก็คือ
  • ประกันชีวิตแบบทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 
  • ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
3. เบี้ยประกันสุขภาพ

สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี แต่เมื่อรวมเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท

4. เบี้ยประกันสุขภาพบิดา-มารดา

ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบิดา-มารดาของผู้มีเงินได้ ก็สามารถหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท

5. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ Long term equity fund (LTF)
 
อีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับนักลงทุนก็คือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ซึ่งสามารถนำจำนวนเงินที่ซื้อกองทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท

6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund หรือ RMF)
 
สำหรับคนที่อยากมีเงินออมไว้ใช้ในวัยเกษียณ การซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย พร้อมทั้งได้รับผลตอบแทนจากการลดหย่อนภาษีคือ หักลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท

7. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

บริษัทบางแห่งตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้พนักงานได้เก็บออม โดยหักเงินจากพนักงานทุกเดือนแล้วบริษัทสมทบให้เป็นจำนวนเท่ากัน ดังนั้นหากเราเป็นคนหนึ่งที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็สามารถนำจำนวนเงินที่จ่ายไปตามจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท มากรอกลดหย่อนภาษีได้

8. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

ข้าราชการที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เดือนละ 3% โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบเพิ่มให้อีก 3% ด้วยเช่นกัน สามารถนำเงินในส่วนที่เราจ่ายไปมาลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และเมื่อรวมกับกองทุนอื่น ๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

9. กองทุนครูโรงเรียนเอกชน

ครู-อาจารย์ก็สามารถนำเงินที่จ่ายเข้ากองทุนครูโรงเรียนเอกชนมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และเมื่อรวมกับ RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

10. กองทุนการออมแห่งชาติ

ผู้ที่เป็นสมาชิกและจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีจากเงินสะสมเข้า กอช. ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดก็คือปีละ 13,200 บาท แต่เมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนอื่น ๆ ข้างต้นที่กล่าวไปก็ต้องไม่เกินกว่า 500,000 บาทเหมือนกัน

กลุ่มค่าลดหย่อนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
1. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อการมีที่อยู่อาศัย

ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยเป็นดอกเบี้ยจากเงินกู้การเช่าซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย

2. การซื้ออสังหาริมทรัพย์ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บ้านหลังแรก)

ค่าลดหย่อนนี้สำหรับคนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์หลังแรกในราคาไม่เกิน 3,000,000 บาท และโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงวันที่ 13 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2559 ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อปี 2558
 
โดยสามารถนำราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 20% มาเฉลี่ยลดหย่อนภาษีได้เป็นเวลา 5 ปี หรือเท่ากับลดหย่อนภาษีได้ปีละ 4% ของราคาบ้านเป็นเวลา 5 ปีนั่นเอง 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
645
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
594
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
538
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
487
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
478
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
457
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด