หลายคนยังสับสนเรื่อง BRAND หลายคนยังสับสนเรื่อง MODELS ต่างคน ต่างสอน ต่างคนต่างเรียนรู้ เริ่มต้นทำธุรกิจ ตามตำราสอนให้ ศึกษาตลาดก่อนที่จะลงมือ ศึกษาผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 80 เรียนรู้เรื่องสินค้า ก่อนศึกษา เรื่องตลาด ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะครับ

 

เพราะผลิตภัณฑ์เริ่มต้นจากการปลูก ปลูกไว้ เพื่อกิน เมื่อเหลือกินจึงนำออกไปแบ่งกับเพื่อนบ้าน จึงเกิดการแลกเปลี่ยนจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่งเมื่อเริ่มขยายเป็นหลายๆบ้าน จนมารวมตัวกันแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ตนเองต้องการ

 

โดยผ่านเบี้ยที่มีมูลค่าเทียบกับค่าของทองคำ ทองคำ 1 กิโลเท่า 700 บาท สมัยรุ่นคุณแม่ จึงเกิดคำว่า " ตลาด" หากใครคุ้นๆกับคำว่า " ตลาดนัด " เขานัดกันมาขาย มาซื้อกันในวันและเวลาเดียวกันไม่เหมือนกับตลาดสด ที่เปิดประจำที่จะมีร้านประจำที่คนต้องวิ่งไปหาซื้ิอของที่ตลาด

 

ปัจจุบันตลาดวิ่งมาหาคน ตามหมู่บ้านนอกเมืองเพื่ออำนวยความสะดวกคนไม่ต้องวิ่งเข้าไปในเมือง วันเวลาตลาดก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามความเจริญและความต้องการของคนซื้อ แม่ค้าแยอะขึ้น การแข่งขันมากขึ้น สินค้าเหมือนกัน ความต้องมากคนผลิตน้อย ราคาสินค้าก็ดี เช่นกันเมื่อคนผลิตมาก มากกว่าความต้องการ ราคาก็จะถูกลง เพราะคนขาย แย่งกันขาย

 

มันจึงเกิดรูปแบบการแข่งขันที่จะต้องมีกลยุทธ์ในดึงดูดให้ลูกค้าสนใจ การชนะคู่แข่ง หรือชนะใจลูกค้า จึงต้องสร้างการตลาดที่ตรงกับความต้องการของตลาดนั้นเอง การกำหนดรูปแบบของสินค้าในยุคที่มีการแข่งขันมาก แบรนด์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในการที่จะต้องเรียนรู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

 

ในที่นี้เราเรียกว่าการออกแบบ Brand Model ที่มีเรื่องสำคัญๆ ที่เราต้องกำหนดทิศทางของแบรนด์หรือรูปแบบเฉพาะ เพื่อสร้างการจดจำผ่านตราสินค้า ผ่านรูปแบบของบุคคลหรือองค์กรเมื่อได้รูปแบบของ BRAND MODEL เราจึงมาออกแบบกระบวนการของ BUSINESS ให้ตรงตามกับกลุ่มเป้าหมายที่เราได้ศึกษาจากตลาด

 

ภาพจาก  bit.ly/2ZGcnoZ

 

โดยใช้หลักของ BUSINESS MODEL CANVAS ในการอธิบายทั้งกระบวนการของการทำธุรกิจ เพื่อเขียน BUSINESS PLAN ในการสร้างแผนและสร้าง Framework ของ Business ตามกรอบเวลาที่เรากำหนดในแผนธุรกิจ

 

สิ่งเหล่านี้ คือ การเริ่มต้นของการทำธุรกิจเราจะเรียกว่า Start Business ไม่ใช่ StartUp หลายคนยัง สับสน กับ คำว่า StartUp แบบผิดๆการมีไอเดียของธุรกิจแล้วจะนำเสนอแผนขอทุนทำได้ในระดับมหาลัย

แค่เป็นการจำลองความคิด เพื่อสร้างกรอบแนวคิดในการเริ่มต้นทำธุรกิจของนักศึกษา จึงเกิดแนวคิด นวัตกรรม ขึ้นมาก็มากในยุค IT ยุคการสื่อสาร ยุคบริโภคความรู้จากสื่อที่ไม่ได้ลำดับ คือ ไม่ได้ลำดับความคิดจาก 1 ไป 10 ไปเริ่มที่ 10 ก่อนแล้ว ค่อยรอเวลาว่าจะแพ้หรือชนะ 90 % แพ้นะครับ เพราะไปเริ่มต้นจากคำว่า " ชอบ " ก่อน ลงมือ " ก่อน " โดยขาดความชำนาญ ขาดความอดทน และขาดเงินทุนในการเริ่มต้นที่ดี

 

วงจรของธุรกิจจึงเริ่มจากง่ายๆ เรามักจะเรียกว่า " Cycle Business "

หลายคนได้แค่ช่วง เริ่มต้นเท่านั้น และหลายๆคนก็ดีใจกับช่วงเติบโต ปีแรกอย่างไรก็เติบโต แน่นอน 100 % แต่จะมีสักกี่คนไปถึงจุดที่สุดของแผนธุรกิจที่ไปไม่ถึงเพราะไม่ได้เขียนแผนธุรกิจปีที่ 5

 

ภาพจาก bit.ly/2IOSwP8

 

กว่าจะถึง 5 ปี ตลาดก็เริ่มเปลี่ยน มันเข้าสู่ช่วงของการตกต่ำ เพราะคู่แข่งเก่งมากขึ้น รักษาพนักงานไม่ได้ รักษาความลับทางธุรกิจไม่ได้ รวมถึงไม่คิดจะพัฒนารูปแบบใหม่ๆและใน 5 ปี ทำแต่แก้ปัญหาฯ จนไม่ได้พัฒนาการให้เกิดแรง ที่จะก้าวข้ามไปสู่ปีที่ 6 ให้ได้ การจะผ่านช่วงตกต่ำได้ จึงต้องสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ การสร้างรูปแบบใหม่ๆในการแข่งขันกับตลาดใหม่

 

คำว่า " นวัตกรรม " หรือ Innovation จึงสร้าง คำว่า Start Up MODEL ที่จะใช้ประสบการณ์เก่าที่มีมากเราต่างทราบถึงปัญหาที่ผ่านมาทั้งหมด การใช้พื้นฐานความเก่าและใช้เครื่องมือใหม่ๆ ใช้วิธีการใหม่ในการสร้าง หาตลาดใหม่ๆ ด้วย หลักการหรือ กลยุทธ์อย่าง Blue Ocean เป็นต้น การสร้าง LEAN CANVAS ในการทำสินค้าใหม่ เราจะเรียกว่า New Products เติมความแตกต่าง ด้วย Innovation ที่ตลาดยังไม่มี

 

สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ คือ ทำแล้วต้องมีกำไรได้ด้วย เพื่อสร้าง S Curves Model ให้กับธุรกิจ ที่จะไปแก้ STEP ที่ 4 ใน Cycle Business

 

ความรู้และสาระดีๆ

 

#สถาบันพัฒนาธุรกิจน้ำดื่มประเทศไทย

#พี่อ๊อดน้ำดี