บทความทั้งหมด    บทความสร้างอาชีพ    ความรู้ค้าขาย    คอร์สเรียนสร้างอาชีพ
4.0K
2 นาที
27 พฤษภาคม 2562
เปิดสูตรคิดต้นทุน “ร้านจิ้มจุ่ม” ตั้งราคาแค่ไหน ไม่ให้เจ๊ง!


ร้านจิ้มจุ่ม ,หมูกระทะ , ชาบูชาบู รูปแบบของร้านอาหารสไตล์นี้คล้ายกันบางทีแยกกันไม่ออก ต่างกันที่รูปแบบเล็กน้อย บางร้านที่เป็นหมูกระทะเขาก็เมนูจิ้มจุ่มให้ลูกค้าที่ต้องการหรือร้านชาบูชาบู ก็คือสไตล์ร้านปิ้งย่างที่อัพเกรดให้พรีเมี่ยมขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้ารับประทานได้อย่างเย็นสบายในห้องติดแอร์ ปัจจุบันการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้มีแฟรนไชส์ให้เลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสม ราคาก็แตกต่างกันไป โอกาสที่จะมีกำไรก็ขึ้นอยู่กับทำเลและการบริหารจัดการร้านเป็นสำคัญ
 
อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นร้านสไตล์ปิ้งย่าง ย่อมต้องมีเมนูและวัตถุดิบที่หลากหลาย และก็เป็นเหตุผลว่าต้นทุนที่แท้จริงของร้านจะต้องไปอยู่ที่วัตถุดิบเหล่านี้ ยิ่งเป็นสไตล์บุฟเฟ่ต์บางทีการคำนวณหา “จุดคุ้มทุน” จะยิ่งยากแสนยาก แต่ขอบอกว่ายากแค่ไหนก็ต้องหาจุดคุ้มทุนตัวเองให้ได้

www.ThaiFranchiseCenter.com เลยจัดเอาสูตรคิดต้นทุนสำหรับร้านสไตล์ปิ้งย่าง หรือจิ้มจุ่มมาเป็นแนวทางเบื้องต้นให้ลองพิจารณาดูเผื่อใครอยากเปิดร้านจะได้รู้ว่าราคาขายที่แท้จริงควรเป็นเท่าไหร่ที่จะทำให้ร้าน “ไม่เจ๊ง”
 
ต้นทุนหลักของร้านจิ้มจุ่ม
 
ภาพจาก  www.facebook.com/Faak.tong

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าร้านจิ้มจุ่มสิ่งที่ต้องมีในร้านคือ น้ำซุป น้ำจิ้ม (สูตรเด็ดยิ่งอร่อยคนยิ่งชอบ) เนื้อต่างๆ ผักและเห็ดต่างๆ เมนูเส้น เครื่องเคียง ของหวาน เครื่องดื่ม ลองคิดต้นทุนสำหรับการเปิดร้านเอาจำนวน 10 โต๊ะ เป็นเกณฑ์ เงินลงทุนเบื้องต้นรวมทุกสิ่งอย่างประมาณ 50,000 –100,000 บาท (แล้วแต่การจัดแต่งร้าน) แต่อาจมีข้อแย้งว่า จิ้มจุ่มริมทางอาจจะเริ่มต้นได้ด้วยเงินไม่เกิน 10,000 บาท

อันนี้ก็แล้วแต่รูปแบบการลงทุน ซึ่งขนาดร้านที่ใหญ่กว่าก็มีโอกาสรับลูกค้าได้มากกว่า เพราะอย่าลืมว่า “จิ้มจุ่ม” ลูกค้าส่วนใหญ่จะนั่งกันทีละนานๆ หากเปิดร้านเล็ก มีแค่โต๊ะ 2 โต๊ะ ลูกค้าหมุนเวียนก็จะไม่มาก รายได้เราก็จะน้อยแปรผันกันตามนี้
 
ซึ่งร้านจิ้มจุ่มก็ถือเป็น ร้านอาหาร รูปแบบหนึ่ง โดยเกณฑ์เฉลี่ยของร้านอาหารผู้สันทัดกรณีได้กล่าวไว้ว่า “ต้นทุนอาหารควรอยู่ที่ 25-30% และต้นทุนด้านแรงงานควรอยู่ที่ 15-20%  นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้นทุนคงที่ได้แก่ ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน เฉลี่ยแล้วควรอยู่ที่ 15-20% รวมถึงต้นทุนผันแปร เช่นค่าแก๊ส ค่าน้ำ ค่าไฟ จิปาถะในแต่ละเดือนควรอยู่ที่ 10-15% 
 
รู้ต้นทุนของร้านแล้วจะทำอย่างไรให้ร้านมีกำไร?
 
ภาพจาก www.facebook.com/rachajimjum

เมื่อรู้ต้นทุนของร้านว่าต้นทุนแต่ละชนิดควรอยู่เท่าไหร่แบบไหน ก็จะนำมาสู่การบริหารจัดการที่ขอบอกว่าร้านจิ้มจุ่มที่อยู่รอดไม่รอดก็เพราะ “เทคนิคการบริหารจัดการร้าน” ที่แต่ละคนมีความชำนาญไม่เท่ากัน บางร้านขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่สุดท้ายกำไรไม่มี สิ่งสำคัญคือเมื่อรู้ต้นทุน ก็ควรมากำหนด “ยอดขายในแต่ละวัน” 
 
ยอดขายในแต่ละวันก็ขึ้นอยู่กับขนาดร้านเป็นสำคัญด้วย ในทีนี้ขอพูดถึงร้านขนาดกลางขึ้นไป มีโต๊ะที่นั่งประมาณ 10 โต๊ะ การตั้งเป้ายอดขายในแต่ละวันขั้นต่ำต้องประมาณ 10,000 บาท ซึ่งยอดขายนี้หากนำมาหักลบกับต้นทุนเมื่อคิดเปอร์เซ็นต์จะพบว่า ยอดขาย 10,000
  • ต้นทุนอาหารควรอยู่ที่ 2,500 – 3,0000 บาท
  • ต้นทุนแรงงานควรอยู่ที่ 1,500 – 2,500 บาท
  • ต้นทุนคงที่ ควรอยู่ที่ 1,500 – 2,500 บาท
  • ต้นทุนผันแปร ควรอยู่ที่ 1,000 – 1,500 บาท
ซึ่งการตั้งเป้า “ยอดขาย” จะทำให้ประมาณการได้ว่าเราจะมีกำไรต่อวันเท่าไหร่ ซึ่งการจะฟันธงว่าให้กำหนดราคาขายของจิ้มจุ่มว่าควรเป็นเท่าไหร่ ค่อนข้างพูดยาก เพราะต้องขึ้นอยู่กับ ค่าเช่าสถานที่ ค่าตกแต่งร้าน ค่าการตลาด  ค่าราคาวัตถุดิบในแต่ละวัน  รวมถึงคู่แข่งที่อยู่โดยรอบ  สิ่งเหล่านี้ผู้ลงทุนต้องอาศัยความชำนาญในการหาเทคนิคลดต้นทุนตัวเองให้ได้มากที่สุดเพื่อโอกาสในการมีกำไรที่มากขึ้น
 
4 แนวทางทำร้านจิ้มจุ่มให้มีกำไร
1.ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า

ภาพจาก  www.facebook.com/rachajimjum

ลูกค้าส่วนใหญ่อาจไม่ได้สนใจว่าราคาของเราจะถูกหรือแพงแต่เขาสนใจแค่ว่าคุ้มหรือไม่คุ้มมากกว่า ฉะนั้นไม่ว่าเราจะตั้งราคาต่อคนต่อหัวเท่าไหร่ จะ 99 บาท 299 หรือ 399 จงมั่นใจว่าทุกเมนูที่เสิร์ฟให้ลูกค้า จะทำให้เขารู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
 
2.บริหารจัดการต้นทุนให้ดี
 
ภาพจาก www.facebook.com/isanatarena

เราต้องรู้ก่อนว่าในแต่ละเมนูมีต้นทุนเท่าไหร่ มีส่วนประกอบอะไรบ้าง อย่างละกี่กรัม เมนูไหนออกมากหรือออกน้อย  การรู้ความต้องการของลูกค้าที่สัมพันธ์กับเมนูสามารถลด food costs ได้
 
3.บริหารของเสียให้เหลือน้อยที่สุด

หนึ่งในรูปแบบที่น่าสนใจคือลดขนาดของอาหารให้น้อยลง ก็อาจลดโอกาสที่ลูกค้าจะกินเหลือให้น้อยลงได้ เนื่องจากพฤติกรรมของคนกินมักชอบลองอะไรหลายๆ อย่าง การที่แต่ละเมนูมีขนาดไม่ใหญ่นัก จะทำให้ลูกค้ามีโอกาสลองเมนูอื่นๆ มากขึ้น
 
4.คิดให้ดีก่อนทำโปรโมชั่น
 
ภาพจาก www.facebook.com/isanatarena

โดยเฉพาะพวกโปรลดราคา หรือมา 3 จ่าย 2 อะไรพวกนี้แม้จะดึงดูดลูกค้าได้แต่โอกาสเสี่ยงเจ๊งก็มีสูง วิธิที่ดีที่สุดคือเราต้องรู้ตัวเองว่าขายอะไรและขายใคร โปรโมชั่นอาจทำให้ได้ลูกค้าใหม่แต่ก็อาจเสียฐานลูกค้าเก่าได้เช่นกัน ดังนั้นโปรโมชั่นจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนและไม่ควรมีบ่อยมากจนเกินไป
 
แต่ถ้าใครคิดว่าการเปิดร้านจิ้มจุ่มมันเป็นเรื่องยากและตัวเองไม่มีความถนัดในการคิดสัดส่วนต้นทุนให้ลดลงแต่ก็อยากลงทุนในธุรกิจนี้ขอแนะนำให้ซื้อแฟรนไชส์ที่ส่วนใหญ่มีอุปกรณ์และวัตถุดิบให้เราพร้อม และมีเทคนิคการขายต่างๆ มาแนะนำให้เรา ซึ่งเบื้องต้นหากเราลองขายและเริ่มมีความชำนาญในอนาคตเราอาจขอเปิดร้านเป็นกิจการตัวเองแบบไม่ต้องใช้แฟรนไชส์ก็ได้
 
*** สูตรการคิดคำนวณราคาขายดังกล่าวนี้ มีตัวแปรที่ต้องเอามาคิดรวมกันอีกหลายอย่างทั้งค่าการตลาด ค่าเช่าพื้นที่ ต้นทุนผันแปรของแต่ละบุคคล ราคาเบื้องต้นจึงเป็นค่าประมาณการณ์ให้พอมองเห็นภาพและแนวทางในการคิดเบื้องต้น***
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน

ติดตามได้ที่ Add LINE id: 
@thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่  www.thaifranchisecenter.com/document/index.php
อาหารจานหลักของคนไทยรองจากข้าวก็คงจะเป็น “ก๋วยเตี๋ยว” จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวคือการปรุงสด ได้ซดน้ำ รับประทานได้คล่องคอแถมยังมีสารอาหารครบถ้วนและมีหลายเมนูให้เลือก แถมราคาก็รับได้ขั้นต่ำ 30-35 บางร้านอาจถึง 45-50 บาทก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของร้านและวัตถุดิบที่แต่ละร้านนำมาใช้ ไม่น่าแปล..
63months ago   6,969  5 นาที
บางคนคิดว่า “ขายน้ำแข็งไส” จะเอากำไรจากที่ไหน ขายถ้วยละ 10 บาท 15 บาท ไหนจะน้ำแข็งที่ต้องละลายกลายเป็นต้นทุนไปเรื่อยๆ สู้ไปขายกาแฟ ชานม ชาไข่มุก ยังจะมีกำไรมากกว่า แต่จนแล้วจนรอดเราก็ยังเห็นพ่อค้าแม่ค้าที่ขายน้ำแข็งไส จึงเชื่อได้ว่า “ธุรกิจนี้ต้องมีกำไรในตัวพอสมควร”..
63months ago   6,722  4 นาที
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
บทความสร้างอาชีพมาใหม่
บทความอื่นในหมวด