บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
1.5K
2 นาที
25 พฤศจิกายน 2562
เมื่อ Line รวมตัวกับ Yahoo Japan เตรียมสู้ตลาดดิจิทัลปี 2020


ในปี 2563 คาดว่าการแข่งขันในตลาดดิจิทัลจะทวีความรุนแรงยิ่งกว่าปี 2562 แบรนด์ยักษ์ใหญ่มากมายทั่วโลกมีการขยับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ปี 2563 ที่จะกลายเป็นสงครามตลาดดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะชี้วัดความอยู่รอดและความสำเร็จของแบรนด์ดังทั่วโลกว่าจะคงอยู่หรือดับไป หรือจะปล่อยให้คู่แข่งซึ่งมาทีหลังวิ่งแซงหน้าไปเป็นเบอร์หนึ่งแทน อันนี้ก็อยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้บริหารในแต่ละองค์กรเป็นสำคัญ
 
หนึ่งในข่าวใหญ่ที่ www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าชัดเจน แม้ไม่ใช่เรื่องในเมืองไทยแต่ก็ชี้ให้เห็นได้ว่านี่คือการขยับเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า นั่นคือข่าวที่ LINE และ Yahoo Japan กำลังจะควบรวมกิจการกัน ท่ามกลางยักษ์ใหญ่ต่างรวมกัน เพื่อสร้าง “Super App” ที่มีบริการหลากหลาย เพื่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Grab จากมาเลเซีย, Alibaba/Tencent/Baidu จากจีน, Go-Jek จากอินโดนีเซีย หรือแม้แต่ Rakuten ที่มาจากญี่ปุ่นเอง
 
ทำไมต้องรวมตัวกัน?


ภาพจาก s.nikkei.com/2rjksU3

พูดถึง “Line” เชื่อว่าคนไทยตอนนี้คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั่วโลกเองก็มีจำนวนแอคเคาท์มากถึง 82 ล้านคน ส่วน Yahoo Japan ก็มีตัวเลขผู้ใช้งานอยู่ที่ 50 ล้านคน โดย Yahoo Japan มีเจ้าของคือ Z Holdings โดยมี SoftBank เป็นบริษัทแม่รายใหญ่อีกที ส่วน LINE หรือ LINE Corp. มีเจ้าของคือ NAVER จากเกาหลีใต้
 
ก่อนหน้านี้ Yahoo Japan ก็ได้เข้าซื้อกิจการ E-Commerce ที่ขายเสื้อผ้าแฟชั่นอย่าง Zozo ไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการรวมตัวกันครั้งนี้มีเป้าหมายทางธุรกิจคือการมุ่งขยายฐานธุรกิจในตลาดออนไลน์ ด้วยการแชร์ทรัพยากรการบริหารและเพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้วยการควบรวมครั้งนี้ ทำให้ Yahoo Japan และ LINE กลายเป็นบริษัท internet ของญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดและจะทำรายได้ได้สูงสุดแซงหน้า Rakuten ที่เมื่อปีที่แล้วทำเงินได้ 1.1 ล้านล้านเยน ขณะที่ Z Holdings และ LINE ทำรายได้รวมกัน 1.16 ล้านล้านเยนในปี 2018
 
ส่วนตลาดหุ้นของ LINE ที่อยู่อเมริกานั้นทั้ง SoftBank และ Naver กำลังไล่ซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายเล็ก เพื่อค่อยๆ ควบกิจการทั้ง 2 ให้แล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2020 ซึ่งถือว่าเป็นแม่แบบเดียวกับหลายบริษัทในญี่ปุ่นที่รวมตัวกัน ยกตัวอย่างในวงการเกม อาทิ Squae-Enix, Bandai-Namco, Tecmo-Koei ที่ทำกันไปแล้วเมื่อกว่า 10 ปีก่อน
 
หนึ่งในเหตุผลที่ LINE ยอมควบกิจการนั้นคือ ผลตอบแทนที่ไม่ดีนักในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้ทางบริษัทจำเป็นต้องดำเนินกลยุทธ์แบบใหม่ทางการตลาดและดีลที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นหนึ่งในหนทางที่ดี ในการพลิกธุรกิจให้เติบโตได้ยิ่งกว่าเดิมและยังสามารถกำไรที่จะมากขึ้นในอนาคตได้ด้วย
 
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังรวมตัวกัน!
 
ภาพจาก bit.ly/2s7lhPZ

หลังจากที่ Z Holdings และ LINE เซ็นสัญญาควบรวมกิจการในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ บริษัทแม่ของทั้งสอง คือ SoftBank และ Naver จะซื้อหุ้น LINE จากผู้ถือหุ้นรายย่อยคืนทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 340,000 ล้านเยน โดยผู้ถือหุ้นเก่าของ LINE จะได้รับประมาณ 5,200 เยนต่อหุ้น
 
ล่าสุดทาง Softbank เจ้าพ่อคมนาคมแห่งแดนอาทิตย์อุทัยประกาศอย่างเป็นทางการแล้วในการควบกิจการ Yahoo! Japan กับ Naver LINE Corp ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นแชทรายใหญ่ เป็นบริษัทใหม่โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะถือหุ้นเท่ากันร้อยละ 50
 
โดยทั้ง Naver LINE Corp และ Softbank จะถือหุ้นเท่ากันที่ร้อยละ 50 ซึ่งผลจากการควบรวมกันครั้งนี้คือการก้าวไปอีกขั้นในด้านการชำระเงินด้วย QR code ทำให้ญี่ปุ่นก้าวสู่สังคมไร้เงินสดได้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดย PayPay ของ SoftBank ได้มีผู้ใช้งาน19 ล้านคนแล้วด้วยแผนการตลาดเชิงรุก ส่วน Line Pay มีผู้ใช้งานกว่า 82 ล้านคน ซึ่งเป็นผลมาจากที่คนญี่ปุ่นใช้แอปพลิเคชั่น Line กันมากนั่นเอง

ภาพจาก bit.ly/2OC7nwY
 
อีกทั้งยังเป็นการรวมบริการที่มากกว่า 100 ล้านรายนั้น สามารถสร้างแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ โดยให้บริการตั้งแต่ เรื่องการเงิน การค้าขาย การโทรคมนาคมและอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงการรวมตัวครั้งนี้จะกลายเป็นคู่แข่งขนาดใหญ่ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจีนหรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นญี่ปุ่นมีความพยายามที่จะแข่งขันบนสนามเศรษฐกิจดิจิทัลมาโดยตลอด

แต่ LINE ซึ่งแม้จะเป็นธุรกิจรายใหญ่แต่ก็พบปัญหาใหญ่เช่นกันนั่นคือ ไม่สามารถสร้างผู้ใช้งานรายใหม่ ๆ ได้มากนัก เมื่อนำไปเทียบกับพวก Facebook, Twitter หรือ IG การควบรวมครั้งนี้ยังหวังที่จะกลายเป็น SuperApp อย่างที่บริษัท Tencent ของแจ๊คหม่าประสบความสำเร็จอย่างสูงได้กลายกลายเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกอาทิ WeChat, อีคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์, บริการสตรีมมิ่ง, เจ้าของเกมดังระดับโลกต่างๆ เป็นต้น
 
และการควบกิจการดังกล่าวจะดำเนินงานไปบนพื้นฐานของความเท่าเทียม ซึ่งพร้อมที่จะเอาชนะการแข่งขันอย่างรุนแรงทั้งในญี่ปุ่นและตลาดโลก โดยให้ความสำคัญในการขายตัวด้านปัญญาประดิษฐ์ พาณิชย์ ฟินเทคและการโฆษณา 

เกร็ดความรู้
 
ภาพจาก on.mktw.net/2DgcOw8
  • Yahoo ยังคงแข็งแกร่งในตลาดญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และ Yahoo Japan เป็นของ Softbank ที่แทบไม่เกี่ยวกับ Yahoo ในอเมริกาแล้ว
  • Z Holding ก็คือบริษัทที่มีบริษัทลูกมาควบรวมกับ Netdesign ในไทยที่หลายคนอาจเคยได้ยิน Hosting ในชื่อ Z.com
นี่คือกระแสที่เริ่มทำให้เรามองเห็นว่าในปี 2563 การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หลายแบรนด์ดังมีการขยับตัวล่วงหน้า ปัจจัยการอยู่รอดของหลายแบรนด์ถ้าไม่ทุ่มงบลงทุนพัฒนาการตลาดดิจิทัล ก็เลือกเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า จับมือเป็นพันธมิตรเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น

เช่นเดียวกับที่ SCG และบุญถาวร ได้ประกาศโมเดลใหม่ร่วมกันในชื่อ “SCG Home บุญถาวร” ที่เพิ่มมิติใหม่ดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้มากขึ้น หรือแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Louis Vuitton ที่คู่กับแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์สดใสร่าเริงอย่าง SUPREMEหรือแม้แต่ H&M ก็ยังมาร่วมมือกับ Balmain 
เป็นต้น
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S
 
ขอบคุณข้อมูล reut.rs/33hw4Uw  , s.nikkei.com/35thURU , tcrn.ch/2KRQflE
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
606
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
499
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
475
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
419
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
406
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
405
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด