การระบาดของไวรัส “โควิด-19” ได้ส่งผลกระทบกับทั้งประชาชนและธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน มีสัดส่วนจำนวนลูกค้าลดลงมากกว่า 30% และยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผลจากการปิดตัวของธุรกิจท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยง ส่งผลให้กำลังซื้อหายไปจากระบบเป็นจำนวนกว่า 70,000 ล้านบาท

 

วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com จะนำเสนอให้ทราบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย จะต้องปรับตัวอย่างไร หลังจากวิกฤติ “โควิด-19” หยุดการแพร่ระบาด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย 

ภาพจาก bit.ly/2wDlZqn

 

แน่นอนว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทยที่ผ่านพ้นวิกฤติ “โควิด-19” ไปได้ ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเหล่านั้น จะไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะจำนวนคนที่เข้าไปใช้บริการในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า รวมถึงร้านค้าปลีกอื่นๆ จะลดน้อยลง เราจะไม่เห็นคนยืนต่อแถวซื้อสินค้า หรืออาหารในห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป เพราะคนจะใช้บริการบริการผ่านออนไลน์มากขึ้น

 

ดังนั้น โมเดลการค้าปลีกแบบดั้งเดิม จะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนก่อนการระบาดของไวรัส “โควิด-19” จะทำให้เกิดช่องทางการตลาดที่ต้นทุนต่ำลง เนื่องจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ทำให้การเชื่อมต่อผู้ผลิตไปยังผู้บริโภครายย่อยได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดการค้าผ่านระบบ E-Commerce ซึ่งผู้บริโภคสามารถชำระค่าสินค้าผ่านระบบ E-Payment ได้อย่างสะดวก

ภาพจาก bit.ly/2Trvgeb

 

นอกจากนี้ ผู้ผลิตและผู้ค้ายังสามารถส่งสินค้าไปยังลูกค้ารายย่อยได้รวดเร็วและตรงเวลา ผ่านการใช้บริการของบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ เทรนด์เหล่านี้จะก่อให้เกิดการเติบโตของจำนวนร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้านมากขึ้น ด้านในตัวธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเองก็จะมีการแข่งขันสูง พิจารณาจากจำนวนสาขาของร้านโมเดิร์นเทรดประเภทต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ

 

ภาพจาก FB : เชฟแมว ครัวแมวแมว

 

ได้เห็นกันแล้วว่า แนวทางการปรับตัวของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย จะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต ผู้ประกอบการไหนสามารับตัวให้ทันยุค ทันการเปลี่ยนแปลงจะได้เปรียบ 

 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)