บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
1.4K
2 นาที
3 เมษายน 2563
ข้อมูลอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศที่น่าสนใจ
 
ภาพจาก bit.ly/3aCH2J2

ผมมีโอกาสได้ไปร่วมอยู่บนเวทีที่รวบรวมอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ มาไว้ด้วยกันในงาน "Priceza E-Commerce Summit 2020" ที่ทางไพรซ์ซ่า (Priceza.com) ได้จัดขึ้น นับว่าเป็นงานใหญ่และทางไพรซ์ซ่าเองก็ได้นำข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างมาเปิดเผยให้ทราบ
 
ข้อมูลที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือในปี 2018-2019 สิ่งที่เห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบทั้งสองปีนี้ก็คือมีจำนวนสินค้าที่อยู่ในมาร์เก็ตเพลสซึ่งในประเทศไทยเหลือหลัก ๆ อยู่ประมาณ 3 เจ้าก็คือ Lazada, Shopee และ JD Central แยกเป็นในปี 2018 มีสินค้าอยู่ในมาร์เก็ตเพลสประมาณ 74 ล้านชิ้น เมื่อถึงปี 2019 จำนวนสินค้าถีบตัวขึ้นมาประมาณ 174 ล้านชิ้น โตขึ้นมาประมาณ 2.4 เท่า หรือเกือบประมาณ 240% จะเห็นได้ว่าจำนวนสินค้าเพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
 
จำนวนสินค้าที่อยู่ในมาร์เก็ตเพลสในปี 2018 ที่มี 74 ล้านชิ้นนั้นพบว่า 60 กว่าล้านชิ้นเป็นสินค้าจากต่างประเทศ อีก 15 ล้านชิ้นเป็นของไทย ซึ่งจะเห็นว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมาก แต่เมื่อมาถึงปีนี้คือ 2019 พบว่าจากสินค้า 170 กว่าล้านชิ้นนั้น มีสินค้าจำนวน 135 ล้านชิ้นหรือเกือบ 77% นั้นมาจากต่างประเทศ และอีก 23% หรือประมาณ 39 ล้านชิ้นนั้นเเป็นของคู่ค้าที่สินค้าอยู่ในไทย นั่นก็คือยังไม่แน่ใจว่าเป็นสินค้าของไทยทั้งหมดหรือไม่ 
 
เมื่อมาดูต่อว่าคู่ค้าในไทยนั้นมีทั้งหมดประมาณ 1 ล้านคน ในขณะที่คู่ค้าที่มาจากต่างประเทศซึ่งโฟกัสไปที่ว่ามาจากจีนประมาณ 81,000 คน จากตัวเลขผู้ค้าที่มาจากจีน 81,000 คนนี้ ผมอยากให้สังเกตที่ว่าเขาบริหารสินค้าที่มีประมาณถึง 100 กว่าล้านชิ้น ในขณะที่คนไทย 1 ล้านคนบริหารสินค้าได้เพียงแค่ 39 ล้านชิ้นเท่านั้น 
 
เมื่อเปรียบเทียบไปที่จำนวนสินค้ากับจำนวนคน ข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น และสินค้าจากต่างประเทศก็เริ่มทะลักเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ 

ภาพจาก bit.ly/3aCH2J2
 
จุดที่น่าสนใจหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลเฉพาะสินค้าที่ขายได้ผ่านไพรซ์ซ่า คือใน 100% ที่เกิดขึ้นนั้น 86% เป็นการซื้อสินค้าจาก Local หรือภายในประเทศ ส่วนอีก 14% เป็นการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ 
 
ในส่วนของราคาสินค้าเฉลี่ยต่อออเดอร์นั้น สินค้าในประเทศชิ้นหนึ่งราคาเฉลี่ยประมาณ 738 บาท ในขณะที่สินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะเราพูดถึงจีน ชิ้นหนึ่งราคาเฉลี่ยประมาณ 350 บาท จะเห็นว่าราคาเป็นครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่า สินค้าจากต่างประเทศมีราคาที่ถูกกว่าและยังมาจากต่างประเทศด้วย ตรงนี้เองสะท้อนถึงเรื่องของการขนส่งที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย
 
การซื้อสินค้าจากจีนหากเปรียบเทียบกันระหว่างเดือนมิถุนายนกับเดือนพฤศจิกายน ในเดือนมิถุนายนจะซื้อสินค้าในราคา 99 บาท ใช้เวลาส่งประมาณ 12 วัน แต่เมื่อมาถึงเดือนพฤศจิกายนซื้อสินค้าแบบเดียวกันแต่ใช้เวลาเพียงแค่ 6 วัน ซึ่งจะเห็นว่าการขนส่งเร็วขึ้นมาก 
 
เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับบริษัทขนส่ง จึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมสินค้าจีนถึงส่งเข้ามาในราคาถูกมาก นั่นก็เพราะว่าเขาใช้วิธีการ bounce คือปกติเราส่งสินค้าต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นอาจจะเป็น 30-50 บาท แต่สินค้าจากจีนที่ส่งเข้ามาเขาไม่ได้ส่งเป็นชิ้น เขาส่งเข้ามาเป็นกิโลเป็นตันหรือเรียกว่าเป็นคิวบิก เช่น 1 คิวบิกอาจจะราคา 2,000 บาท แต่ใน 1 คิวบิกนี้อาจจะอัดเข้ามาเป็นพันชิ้น และเมื่อหารเฉลี่ยออกมาต่อชิ้นก็จะถูกมาก อาจจะเหลือแค่ 2-3 บาทด้วยซ้ำ 
 
ตอนที่ส่งเข้ามาเป็นคิวบิกใหญ่ ๆ เมื่อมาถึงไทยก็นำมาแยกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และจะมีคนคอยกระจายออกไปเป็นชิ้น ตรงนี้ก็จะมีค่าส่งอีกทีหนึ่งอาจจะราคา 10-20 บาทก็แล้วแต่ ฉะนั้น บางครั้งการส่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในไทยจะถูกกว่าการส่งในไทยเองด้วยซ้ำไป และหากมาดูในเรื่อง EEC หรือแวร์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ของอาลีบาบา ในแง่ของต้นทุนก็จะเร็วขึ้นและราคาก็จะถูกลงมากขึ้นด้วย 

ภาพจาก bit.ly/3aCH2J2
 
ขณะเดียวกันพบว่าสินค้าจากต่างประเทศหากแยกเป็นหมวดหมู่ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ปีนี้ สินค้าไทยโดนสินค้าจากต่างประเทศเบียดเข้ามาเยอะ หมวดหมู่แรกที่โดนหนักมากก็คือ พวกเสื้อผ้าผู้ชาย (Men's Tools & Clothing) หมวดหมู่ที่สองคือ Mobile & Gadget หมวดหมู่ที่สาม (ซึ่งคล้าย ๆ กับปีที่แล้ว) คือ อุปกรณ์กีฬา (Sport & Outdoor) บอกได้เลยว่าตอนนี้คนนิยมซื้อสินค้าเหล่านี้ทางออนไลน์กันมาก หมวดหมู่เหล่านี้สินค้าจีนกินเข้ามาแล้วประมาณ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์
 
แต่ในหมวดหมู่ที่สินค้าไทยยังยึดครองหรือยังมีอำนาจอยู่ก็คือ พวกอาหาร ซึ่งแน่นอนสินค้าต่างประเทศหรือจากจีนไม่มี อย. จึงถือว่ายังเป็นข้อจำกัดหรือเป็นการป้องกันสินค้าจากต่างประเทศให้เข้ามาได้ลำบากสักหน่อย หมวดหมู่ที่สองคือ Health & Wellness พวกอาหารเสริม สุขภาพและความงาม 
 
หมวดหมู่ที่สามที่ผมคิดว่าคนไทยมีความได้เปรียบคือ Ticket & Voucher ที่ต่างชาติยังบุกเข้ามาไม่ได้และข้อดีของหมวดหมู่นี้มีต้นทุนที่ต่ำมาก ตอนนี้มาร์เก็ตเพลสก็เริ่มขายพวกนี้ คนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วอาจไม่ต้องมานั่งส่งของ แค่ปรับธุรกิจให้ตัวเองเป็นบริการ มาเป็น Voucher แบบนี้ก็ได้ แถมข้อดีอีกอย่างคือเป็นการขายล่วงหน้า แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องของธุรกิจที่หลอกลวงด้วยเช่นกัน 
 
จะเห็นว่าตัวเลขในปีนี้ก็ค่อนข้างสอดคล้องกับข้อมูลที่ผมเคยให้ไปบ้างแล้ว อย่างไรก็ตามหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทุกท่านที่ทำธุรกิจอยู่สามารถมองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น รีบปรับตัวเองให้ทันเวลา และสามารถนำธุรกิจเดินต่อไปได้ครับ
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
10 อาชีพหลังเกษียณ ทำแก้เหงา แถมได้เงิน
793
แฉ! จริงมั๊ย ผู้ผลิตจน พ่อค้าคนกลางรวย
710
ยุคนี้ อยากรวยยาว! เซ็ทธุรกิจตัวเองให้เป็น Desti..
641
20 ไอเดียธุรกิจใหญ่ ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีหุ้นส่วน
522
เศรษฐกิจไม่ฟื้น! ไตรมาส 2 ไม่แพ้ไตรมาสแรก 14 ธุร..
439
10 เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล
421
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด