บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    ความรู้ทั่วไปทางการเงิน
1.8K
2 นาที
23 กุมภาพันธ์ 2564
รวม 5 เทคนิคจัดการ “หนี้”


ไม่มีใครที่อยากเป็นหนี้ แต่การเป็นหนี้บางทีก็หมายถึงการอยู่รอดของครอบครัว เมื่อใดก็ตามที่รายรับน้อยกว่ารายจ่าย ไม่มีรายได้มาหมุนเวียนทางออกที่ดีที่สุดคือ “เป็นหนี้” จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าครอบครัวคนไทยเป็นหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยครอบครัวละประมาณ 340,000 บาท เป็นหนี้ในระบบประมาณ 60% หนี้นอกระบบประมาณ 40 
 
และยิ่งหนักขึ้นเมื่อมีการแพร่ระบาดของ COVID 19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ทำให้คนไทยเริ่มเป็นหนี้กันตั้งแต่อายุยังน้อย (อายุไม่เกิน30) กลุ่มคนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานภาพการเป็นลูกหนี้ถึง 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล
 
และจากมาตรการของภาครัฐสารพัดวิธี ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นในระยะยาว ไม่ว่าจะเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ สารพัดโครงการเยียวยา ก็แค่ทำให้คนส่วนใหญ่อยู่รอดไปวันๆ แต่ก็ยังเป็น “หนี้” เหมือนเดิม

ด้วยเหตุนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com จึงคิดว่าเราควรหาวิธี “จัดการหนี้” แต่ก็ ไม่มีสูตรการปลดหนี้ที่ไหนบอกว่าหาเงินได้เท่าไหร่ให้เอาไปใช้หนี้ให้หมด อันที่จริงมีวิธีจัดการหนี้มากมาย ถ้าไม่หมดหนี้ในทันทีแต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้หนี้ที่มีอยู่น้อยลงกว่าเดิมได้
 
ประเภทของหนี้
 
1.หนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวและก่อนให้เกิดภาระทางการเงิน
 

ภาพจาก pixabay.com

พูดง่ายๆก็คือหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะเราอยากได้โน้นนี่ เช่น มีเงินเดือน 20,000 ซื้อของที่อยากได้ซะ 50,000 จนทำให้รายจ่ายมากกว่ารายรับและนำเงินอนาคตมาใช้ ใช้บัตรเครดิตมาผ่อน ทำให้เกิดภาระทางการเงินและต้องจ่ายดอกเบี้ยจนหนี้ท่วม
 
2.หนี้ที่เกิดประโยชน์ในอนาคต
 

ภาพจาก pixabay.com

เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้ว่าหนี้ประเภทนี้เกิดจากอะไร ใช่แล้ว! ก็เช่น ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ซื้อที่ดิน หรือบางทีซื้อรถเพื่อใช้ประโยชน์ก็คือหนี้ที่อาจจะต้องจ่ายแต่สิ่งที่ได้คืนมาคือหลักประกันในอนาคตที่มั่นคงขึ้น 
 
ก่อนที่จะไปวางแผนชำระและจัดการหนี้ เราต้องรวบรวมข้อมูล “หนี้สิน” ตัวเองทั้งหมดก่อนว่าเป็นหนี้แบบไหน อย่างไร เท่าไหร่ ถ้าเป็นหนี้ที่สร้างรายได้และความมั่นคงในในอนาคตเรียกว่า “หนี้ดี” แต่ถ้าเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้และเป็นภาะระที่ต้องชดใช้เรียกว่า “หนี้เสีย” 
 
รวม 5 วิธีจัดการหนี้
1.จัดการหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน
 

ภาพจาก pixabay.com

แม้ว่าหนี้ทุกอย่างจะมีความจำเป็น และมีระยะเวลาในการชดใช้ เราต้องมาบริหารจัดการก่อนว่า หนี้ก่อนไหนที่โหดสุด ดอกเบี้ยแพง ถ้าเลือกได้ควรใช้หนี้ที่ยากที่สุดก่อน อาจจะพักชำระหนี้ในส่วนอื่นเอาไว้ (ถ้าทำได้) แล้วหันมาโฟกัสใช้หนี้ดอกเบี้ยแพงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

2.กู้หนี้ใหม่มาปิดหนี้เก่า

วิธีนี้ก็ยังทำให้เราเป็นหนี้เหมือนเดิมเพียงแค่เปลี่ยนเจ้าหนี้ แต่ข้อดีของการกู้หนี้ใหม่มาปิดหนี้เก่า โดยเฉพาะถ้าได้เงินกู้จากสถาบันการเงินที่อัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน เราต้องแน่ใจว่าดอกเบี้ยใหม่ที่เราเสียนั้นน้อยกว่าดอกเบี้ยจากเงินกู้เดิมที่เรามีอยู่ เช่น เป็นหนี้นอกระบบ 100,000 จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 ต่อเดือน เท่ากับเราต้องส่งดอกเบี้ยรายเดือนละเป็นหมื่น แต่ถ้าเรากู้จากธนาคารมาได้อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4-5% ก็เท่ากับเราเสียดอกเบี้ยน้อยลงและมีเงินหมุนเวียนให้ใช้มากขึ้น ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เอาไปใช้ได้แต่ต้องคำนวณให้ดีก่อนตัดสินใจ
 
3.ติดต่อประนอมหนี้กับสถาบันการเงิน
 

ภาพจาก pixabay.com

เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องอย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ดังนั้น การเลือกเข้าไปคุยกับธนาคารจึงถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อขอประนอมหนี้ และทำการตกลงกับทางธนาคารในการปลดหนี้ที่มีทั้งหมดใหม่ เช่น การขอปรับลดดอกเบี้ยชั่วคราว, การขอจ่ายแค่ดอกเบี้ยชั่วคราว, การขอหยุดชำระหนี้ชั่วคราว ฯลฯ เพื่อเป็นการคืนสภาพคล่องทางการเงินและตั้งหลักได้ง่ายขึ้น
 
4.ขายสินทรัพย์บางอย่างเพื่อปิดหนี้
 
ในกรณีที่เราพอจะมีสินทรัพย์เช่นที่ดิน คอนโด ทองคำ รถยนต์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงมาเป็นเงินสดเพื่อใช้หนี้ได้ หลายคนอาจมองว่าการทำแบบนี้สุดท้ายเราก็จะเหลือแต่ตัวเปล่าๆ แต่ถ้าเรารู้จักบริหารจัดการสินทรัพย์ในการขายเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนใช้หนี้ เราก็ยังมีโอกาสที่จะกลับไปซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ได้ แต่ถ้าเรายังเป็นหนี้ โอกาสที่เราจะขยายสินทรัพย์ให้มากขึ้นก็เป็นไปได้ยาก แม้จะเป็นวิธีที่ดูจะรุนแรงแต่บางครั้งเราต้องชั่งใจและมองผลกระทบให้ดี ถ้าเราบริหารจัดการดีวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลในระดับหนึ่งเช่นกัน

5.จ่ายเงินต่องวดให้มากขึ้นเพื่อ “ลดต้นลดดอก”
 

ภาพจาก pixabay.com

ในกรณีของคนที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินเช่นการกู้ซื้อบ้าน บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล วิธี้นี้ใช้ได้ผลมาก เพราะวงเงินเหล่านี้ มีการคำนวณดอกเบี้ยแบบ “ลดต้นลดดอก” โดยดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายอิงจากยอดเงินต้นคงเหลือในงวดก่อนหน้า ซึ่งหากมียอดคงเหลือเยอะ เงินค่างวดที่ผ่อนแต่ละเดือนจะถูกหักไปจ่ายดอกเบี้ยเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือจึงนำไปลดเงินต้น ยกตัวอย่าง สินเชื่อบ้านวงเงิน 1 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี

พบว่าหากเพิ่มยอดการผ่อนอีกเดือนละ 10% จากยอดขั้นต่ำ เช่น กำหนดให้ชำระขั้นต่ำ 5,000 บาท ผู้กู้ผ่อนชำระจริงที่ 5,500 บาท จะทำให้ลดระยะเวลาการผ่อนลงจาก 30 ปี เหลือ 25 ปี และภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยรวมที่อาจสูงถึง 9.3 แสนบาทจะลดลงมาที่ 7.5 แสนบาท และหากเพิ่มยอดการผ่อนอีกเดือนละ 20% จากยอดขั้นต่ำ จะทำให้สามารถปลดหนี้ได้ภายใน 20 ปีเศษ และลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงเหลือราว 6.3 แสนบาทเท่านั้น
 
การเป็นหนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี และคนเป็นหนี้ก็ต้องรู้สึกทุกข์ใจที่ต้องมาใช้หนี้ แต่ก่อนที่จะเป็นหนี้ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นความคิดของเราเองที่ไป “กู้เงิน” เพื่อนำมาใช้ในลักษณะต่างๆ ซึ่งเราต้องยอมรับในจุดนี้ที่ต้องบริหารการเงินในการใช้คืนให้ดี ต้องคำนวณแล้วว่า เงินที่กู้มาเราจะใช้คืนได้ทัน และไม่เป็นภาระกับเรามากเกิน คำว่ากู้ง่ายคืนยาก คือคำที่เหมาะกับคนที่ทำอะไรแบบไม่คิด คิดแต่จะกู้ กู้ และกู้ โดยไม่ประเมินกำลังในการใช้คืนของตัวเองให้ดี
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document/index.php
 
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
422
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด