บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    ความรู้ทั่วไปทางการเงิน
938
2 นาที
15 มีนาคม 2567
เรื่องจริงที่ไม่มีใครบอก! วงจรเงินสด ยิ่งติดลบยิ่งดี ธุรกิจยิ่งโต
 

ธุรกิจจะใหญ่โตแค่ไหนไม่ได้ดูแค่ตัวเลขที่เป็น “ยอดบวก” อย่างเดียว บางอย่างยิ่ง “ติดลบ” ก็ยิ่งดี

เรื่องที่หลายคนอาจมองข้าม คือวงจรเงินสด (Cash Conversion Cycle) ยิ่งติดลบก็ยิ่งดี! แสดงว่าธุรกิจของคุณนั้นใหญ่โต และมีอำนาจต่อรองเยอะมาก
 
วงจรเงินสด หรือ Cash conversion cycle (CCC) คือตัวเลขที่บอกถึงจำนวนวันที่กิจการจะได้รับเงินสดจากการดำเนินงาน หรือก็คือสิ่งที่ลงทุนไปจนได้เงินกลับมาต้องใช้เวลากี่วัน  ตัวเลขยิ่งน้อยถึงขั้นติดลบได้ยิ่งดีเพราะแสดงถึงความสามารถในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน และสภาพคล่องของบริษัท

 
มีสูตรสำเร็จที่ใช้คิดคือ 
  • วงจรเงินสด = ระยะเวลาขายสินค้า + ระยะเวลาเก็บหนี้ – ระยะเวลาจ่ายหนี้
  • ระยะเวลาขายสินค้า คือ ระยะเวลาที่สินค้าอยู่ในคลังจนสร้างยอดขายได้ ใช้เวลาทั้งหมดกี่วัน เวลายิ่งน้อยก็ยิ่งดี
  • ระยะเวลาเก็บหนี้ คือ ระยะเวลาที่บริษัทใช้จนกว่าจะเก็บเงินสดจากลูกหนี้การค้าได้ เวลายิ่งน้อยก็ยิ่งดีเช่นกัน
  • ระยะเวลาจ่ายหนี้ คือ ระยะเวลาที่บริษัทใช้ในการจ่ายหนี้การค้าให้เจ้าหนี้ ระยะเวลาจ่ายหนี้ยิ่งมากก็ยิ่งดี
ที่บอกว่า “วงจรเงินสด” ยิ่งติดลบก็ยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่แบรนด์ดังเจ้าใหญ่ระดับประเทศตัวเลขนี้เขาก็ติดลบกันทั้งนั้น
 
ยกตัวอย่าง 7-Eleven
 

เราทราบดีว่าบรรดาคู่ค้าที่นำของมาวางขายใน 7-Eleven จะยังไม่ได้เงินในทันที

โดยเฉลี่ยต้องรอถึง 53 วัน จึงจะได้เงินจาก CPALL ที่เป็นเจ้าของ 7-Eleven
  • ซึ่งระยะเวลาขายสินค้าของ 7-Eleven = 29 วัน
  • ระยะเวลาเก็บหนี้จากลูกค้า = 1 วัน
  • ระยะเวลาชำระหนี้กับคู่ค้า = 53 วัน
  • วงจรเงินสดของ CPALL ก็คือ 29  + 1 - 53 = 23 วัน
ตัวเลขที่ได้มานี้บอกให้รู้ว่า CPALL สามารถนำเงินที่ได้จากการขายสินค้าไปใช้จ่ายหมุนเวียนได้มากถึง 23 วัน ก่อนที่จะนำไปจ่ายให้กับคู่ค้าที่เป็นแบรนด์สินค้าต่าง ๆ
 
คำถามคือ! ทำไมบรรดาคู่ค้าต่างๆ ถึงต้องยอมให้เอาสินค้าไปก่อน และต้องรออีกนานกว่าจะได้เงิน ?
 
นั่นเพราะศักยภาพของแบรนด์ทำให้ “มีอำนาจต่อรอง” ได้เยอะมาก
 
ด้วยความที่ 7-Eleven มีสาขามากกว่า 14,000 แห่ง มีพลังในการจัดจำหน่ายสูงมาก ถ้าเราเป็นเจ้าของสินค้าก็คงอยากให้สินค้าตัวเองไปวางขายอยู่บนเชลล์ของ 7-Eleven ทั้ง 14,000 แห่ง เพราะโอกาสที่เราจะขายของได้มาก สินค้าเราจะเป็นที่รู้จักก็มาก แต่ก็ต้องแลกมากับ “Credit Term” ที่นานขึ้น
 
 
ไม่ใช่แค่ 7-Eleven เท่านั้นนะที่ “วงจรเงินสด” อยู่ในระดับที่น้อยถึงน้อยมาก ห้างค้าปลีกอย่าง Lotus’s , Makro ก็มีระยะเวลาชำระหนี้กับคู่ค้านานถึง 55 วัน
 
ขณะที่ธุรกิจในเครือของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ CRC มีระยะเวลาชำระหนี้ กับลูกค้านานถึง 79 วัน
 
หรืออย่างอิชิตันกรุ๊ป ก็มีระยะเวลาชำระหนี้กับคู่ค้านานถึง 65 วัน เป็นต้น
 
วงจรเงินสดดูอีกทีก็ไม่ต่างจากงูกินหางเพราะในขณะที่แบรนด์ใหญ่รับสินค้าไปขายก่อน เจ้าของสินค้ายังไม่ได้เงิน ในทันทีวิธีแก้ปัญหาก็คือการขอ Credit Term ที่นานขึ้นจากบรรดาซัพพลายเออร์ต่างๆ ซึ่งเหตุผลของบรรดาซัพพลายเออร์ก็ไม่ต่างกันคือต้องยอมให้ไปก่อนเพราะเจ้าของสินค้ามีศักยภาพในการผลิตสูงและถือเป็นลูกค้ารายใหญ่นั่นเอง
 
 
จากข้อมูลภาพรวมทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่ายิ่ง “วงจรเงินสด” มีตัวเลขยิ่งน้อยก็เท่ากับว่าจะเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตตามไปด้วย แต่ทั้งนี้การนำตัวเลข “วงจรเงินสด” มาชี้วัดว่าใครจะเป็นยักษ์ใหญ่ต้องนำไปเปรียบเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกันเท่านั้น เพราะตามปกติแล้วอุตสาหกรรมต่างๆจะมีระยะเวลาในการขายสินค้า เก็บเงิน และจ่ายหนี้ไม่เท่ากัน จะด้วยลักษณะของสินค้า หรืออาจไม่มีสินค้าเลยก็ตามแต่ ซึ่ง “วงจรเงินสด” จะใช้ไม่ได้ในกรณีที่บริษัทไม่มีสินค้าคงคลัง หรือไม่มีการสต็อกสินค้า เช่น ธุรกิจบริการต่างๆ เป็นต้น
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
645
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
595
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
538
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
487
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
478
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
457
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด