บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    ความรู้ทั่วไปทางการเงิน
455
2 นาที
15 มีนาคม 2567
เรื่องจริงที่ไม่มีใครบอก! วงจรเงินสด ยิ่งติดลบยิ่งดี ธุรกิจยิ่งโต
 

ธุรกิจจะใหญ่โตแค่ไหนไม่ได้ดูแค่ตัวเลขที่เป็น “ยอดบวก” อย่างเดียว บางอย่างยิ่ง “ติดลบ” ก็ยิ่งดี

เรื่องที่หลายคนอาจมองข้าม คือวงจรเงินสด (Cash Conversion Cycle) ยิ่งติดลบก็ยิ่งดี! แสดงว่าธุรกิจของคุณนั้นใหญ่โต และมีอำนาจต่อรองเยอะมาก
 
วงจรเงินสด หรือ Cash conversion cycle (CCC) คือตัวเลขที่บอกถึงจำนวนวันที่กิจการจะได้รับเงินสดจากการดำเนินงาน หรือก็คือสิ่งที่ลงทุนไปจนได้เงินกลับมาต้องใช้เวลากี่วัน  ตัวเลขยิ่งน้อยถึงขั้นติดลบได้ยิ่งดีเพราะแสดงถึงความสามารถในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน และสภาพคล่องของบริษัท

 
มีสูตรสำเร็จที่ใช้คิดคือ 
  • วงจรเงินสด = ระยะเวลาขายสินค้า + ระยะเวลาเก็บหนี้ – ระยะเวลาจ่ายหนี้
  • ระยะเวลาขายสินค้า คือ ระยะเวลาที่สินค้าอยู่ในคลังจนสร้างยอดขายได้ ใช้เวลาทั้งหมดกี่วัน เวลายิ่งน้อยก็ยิ่งดี
  • ระยะเวลาเก็บหนี้ คือ ระยะเวลาที่บริษัทใช้จนกว่าจะเก็บเงินสดจากลูกหนี้การค้าได้ เวลายิ่งน้อยก็ยิ่งดีเช่นกัน
  • ระยะเวลาจ่ายหนี้ คือ ระยะเวลาที่บริษัทใช้ในการจ่ายหนี้การค้าให้เจ้าหนี้ ระยะเวลาจ่ายหนี้ยิ่งมากก็ยิ่งดี
ที่บอกว่า “วงจรเงินสด” ยิ่งติดลบก็ยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่แบรนด์ดังเจ้าใหญ่ระดับประเทศตัวเลขนี้เขาก็ติดลบกันทั้งนั้น
 
ยกตัวอย่าง 7-Eleven
 

เราทราบดีว่าบรรดาคู่ค้าที่นำของมาวางขายใน 7-Eleven จะยังไม่ได้เงินในทันที

โดยเฉลี่ยต้องรอถึง 53 วัน จึงจะได้เงินจาก CPALL ที่เป็นเจ้าของ 7-Eleven
  • ซึ่งระยะเวลาขายสินค้าของ 7-Eleven = 29 วัน
  • ระยะเวลาเก็บหนี้จากลูกค้า = 1 วัน
  • ระยะเวลาชำระหนี้กับคู่ค้า = 53 วัน
  • วงจรเงินสดของ CPALL ก็คือ 29  + 1 - 53 = 23 วัน
ตัวเลขที่ได้มานี้บอกให้รู้ว่า CPALL สามารถนำเงินที่ได้จากการขายสินค้าไปใช้จ่ายหมุนเวียนได้มากถึง 23 วัน ก่อนที่จะนำไปจ่ายให้กับคู่ค้าที่เป็นแบรนด์สินค้าต่าง ๆ
 
คำถามคือ! ทำไมบรรดาคู่ค้าต่างๆ ถึงต้องยอมให้เอาสินค้าไปก่อน และต้องรออีกนานกว่าจะได้เงิน ?
 
นั่นเพราะศักยภาพของแบรนด์ทำให้ “มีอำนาจต่อรอง” ได้เยอะมาก
 
ด้วยความที่ 7-Eleven มีสาขามากกว่า 14,000 แห่ง มีพลังในการจัดจำหน่ายสูงมาก ถ้าเราเป็นเจ้าของสินค้าก็คงอยากให้สินค้าตัวเองไปวางขายอยู่บนเชลล์ของ 7-Eleven ทั้ง 14,000 แห่ง เพราะโอกาสที่เราจะขายของได้มาก สินค้าเราจะเป็นที่รู้จักก็มาก แต่ก็ต้องแลกมากับ “Credit Term” ที่นานขึ้น
 
 
ไม่ใช่แค่ 7-Eleven เท่านั้นนะที่ “วงจรเงินสด” อยู่ในระดับที่น้อยถึงน้อยมาก ห้างค้าปลีกอย่าง Lotus’s , Makro ก็มีระยะเวลาชำระหนี้กับคู่ค้านานถึง 55 วัน
 
ขณะที่ธุรกิจในเครือของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ CRC มีระยะเวลาชำระหนี้ กับลูกค้านานถึง 79 วัน
 
หรืออย่างอิชิตันกรุ๊ป ก็มีระยะเวลาชำระหนี้กับคู่ค้านานถึง 65 วัน เป็นต้น
 
วงจรเงินสดดูอีกทีก็ไม่ต่างจากงูกินหางเพราะในขณะที่แบรนด์ใหญ่รับสินค้าไปขายก่อน เจ้าของสินค้ายังไม่ได้เงิน ในทันทีวิธีแก้ปัญหาก็คือการขอ Credit Term ที่นานขึ้นจากบรรดาซัพพลายเออร์ต่างๆ ซึ่งเหตุผลของบรรดาซัพพลายเออร์ก็ไม่ต่างกันคือต้องยอมให้ไปก่อนเพราะเจ้าของสินค้ามีศักยภาพในการผลิตสูงและถือเป็นลูกค้ารายใหญ่นั่นเอง
 
 
จากข้อมูลภาพรวมทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่ายิ่ง “วงจรเงินสด” มีตัวเลขยิ่งน้อยก็เท่ากับว่าจะเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตตามไปด้วย แต่ทั้งนี้การนำตัวเลข “วงจรเงินสด” มาชี้วัดว่าใครจะเป็นยักษ์ใหญ่ต้องนำไปเปรียบเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกันเท่านั้น เพราะตามปกติแล้วอุตสาหกรรมต่างๆจะมีระยะเวลาในการขายสินค้า เก็บเงิน และจ่ายหนี้ไม่เท่ากัน จะด้วยลักษณะของสินค้า หรืออาจไม่มีสินค้าเลยก็ตามแต่ ซึ่ง “วงจรเงินสด” จะใช้ไม่ได้ในกรณีที่บริษัทไม่มีสินค้าคงคลัง หรือไม่มีการสต็อกสินค้า เช่น ธุรกิจบริการต่างๆ เป็นต้น
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
10 อาชีพหลังเกษียณ ทำแก้เหงา แถมได้เงิน
791
แฉ! จริงมั๊ย ผู้ผลิตจน พ่อค้าคนกลางรวย
709
ยุคนี้ อยากรวยยาว! เซ็ทธุรกิจตัวเองให้เป็น Desti..
640
20 ไอเดียธุรกิจใหญ่ ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีหุ้นส่วน
521
เศรษฐกิจไม่ฟื้น! ไตรมาส 2 ไม่แพ้ไตรมาสแรก 14 ธุร..
432
10 เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล
420
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด