บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
272
2 นาที
5 สิงหาคม 2568
กฎ 3 รุ่น ธุรกิจครอบครัว สร้าง-สานต่อ-รอเจ๊ง เป็นจริง?
 

“ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่ไม่อาจอยู่รอดได้เกิน 3 รุ่น หรือพูดง่ายๆ ว่า รุ่นปู่สร้าง รุ่นพ่อสานต่อ รุ่นหลานรอเจ๊ง”
 
ตอกย้ำให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเมื่อแยกเป็นภาพแต่ละรุ่นอย่างชัดเจน
 
รุ่นที่ 1 : ผู้ก่อตั้ง (สร้าง)
 
เริ่มจากศูนย์ สร้างธุรกิจด้วยน้ำพักน้ำแรง บางคนล้มลุกคลุกคลานมาหลายปี
 
รุ่นที่ 2 : ลูกหลาน (สานต่อ)
 
รับช่วงกิจการมา พัฒนาต่อ อาจเปลี่ยนแนวทางใหม่ ใช้ความรู้ทันสมัยมากขึ้น
 
รุ่นที่ 3 : หลาน (รอเจ๊ง)

หลายเคสรุ่นนี้ “กินบุญเก่า” ขาดแพสชัน ไม่เข้าใจธุรกิจ เสี่ยงทำพังหรือขายกิจการ
 
 
อย่างไรก็ดีคำกล่าวนี้เหมือนเป็นการดูถูกฝีมือของคนรุ่นใหม่อย่างมาก ซึ่งที่มาของแนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 1980 จากงานวิจัยในอเมริกาที่สุ่มตัวอย่างบริษัทแล้วแบ่งออกเป็นช่วงๆ 30 ปี เทียบเคียงว่า 1 รุ่น = 30 ปี ผลปรากฏว่า
  • 1 ใน 3 ของบริษัทตัวอย่างสามารถคงอยู่ต่อได้ในรุ่นที่ 2
  • มีเพียง 13% เท่านั้นที่บริหารต่อเนื่องไปถึงรุ่นที่ 3
หลายฝ่ายออกมาให้ความเห็นว่างานวิจัยนี้ยังคลาดเคลื่อนในหลายอย่าง และหนึ่งในเหตุผลที่น่าสนใจมากสุดคืองานวิจัยนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกว่าทำไมบางธุรกิจถึงหายไป ซึ่งในความเป็นจริงการทำธุรกิจอยู่รอดหรือไปต่อได้มีหลายองค์ประกอบ 
 
ถ้าเป็นธุรกิจครอบครัว อาจมีเรื่องของความขัดแย้งในครอบครัวมาเกี่ยวได้ แต่ในบางกรณีเจ้าของอาจเพียงแค่ขายธุรกิจของพวกเขาและเริ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งนั่นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็น "ความล้มเหลว" ที่ทถ้าเป็นธุรกิจครอบครัว อาจมีเรื่องของความขัดแย้งในครอบครัวมาเกี่ยวได้ แต่ในบางกรณีเจ้าของอาจเพียงแค่ขายธุรกิจของพวกเขาและเริ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งนั่นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็น "ความล้มเหลว" ที่ท#ความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวำให้ธุรกิจครอบครัวไปไม่รอด 
 
 
ดูข้อมูลจาก Kbank Private Banking ที่คาดมูลค่าการส่งต่อความมั่งคั่งระหว่างรุ่นทั่วโลก สูงถึง 18.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 662 ล้านล้านบาท และแน่นอนว่าตระกูลใดก็ตามที่มีธุรกิจของตัวเอง ย่อมคาดหวังให้รุ่นลูก รุ่นหลานเป็นผู้สานต่อ

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงในอีกด้านว่าปัจจัยแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนที่มีธุรกิจครอบครัว ไม่อยากรับช่วงต่อ แต่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิต อยากเริ่มทำธุรกิจใหม่ของตัวเองมากกว่า หรือเลือกอาชีพที่อยากทำได้ ซึ่งหากต้องการให้รุ่นลูกรุ่นหลานสานต่อกิจการจำเป็นต้องเช้าใจความต้องการของ Next Generation เช่น
  • อยากรู้ว่าหากกำลังจะรับดูแลธุรกิจครอบครัวต่อ สิ่งที่ต้องเจอมีอะไรบ้าง
  • การมีอำนาจในการบริหารไม่ใช่เป็นเพียงแค่คนที่เข้ามาทำงานแต่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของอาวุโส
  • การวางระบบบริหารจัดการและการถูกยอมรับจากพนักงานรุ่นเก่าๆ 
  • ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาธุรกิจตามแนวคิดของคนรุ่นใหม่
มีสถิติที่น่าสนใจระบุว่าหากไม่ได้เตรียมพร้อมวางแผนในการส่งต่อ จะมีธุรกิจครอบครัวที่สามารถอยู่รอดในรุ่นที่ 2 เพียง 30% ส่งผ่านไปสู่รุ่นที่ 3 ได้เพียง 12% และเหลือเพียง 3% ที่รอดไปสู่รุ่นที่ 4
 
จากรุ่น 1 ส่งต่อไปรุ่น 2 จะง่ายกว่า เพราะเป็นพ่อลูก มีความใกล้ชิดกัน ในขณะที่รุ่น 2 ส่งต่อรุ่น 3 และรุ่น 3 ส่งต่อรุ่น 4 จะยากกว่า เพราะจากเดิมอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ กลายเป็นแยกกันอยู่ ต่างอยู่บ้านของตัวเอง ทำให้มีความห่างกัน ลูกพี่ลูกน้องทำงานร่วมกันยาก และถ้าวิเคราะห์แยกเป็นข้อๆว่าทำไมรุ่นลูกหลานถึงสานต่อกิจการของครอบครัวไม่ได้พบว่าปัญหาเกิดจาก
 
 
1. ไม่มีแพสชัน – ไม่อินกับธุรกิจ
  • ทายาทไม่ได้เลือกเอง ถูกคาดหวังให้สานต่อ
  • ทำไปแบบ “จำใจ” หรือ “ตามหน้าที่”
  • สุดท้ายขาดแรงขับ เครียด หมดไฟ 
2. ไม่มีประสบการณ์ – ไม่เข้าใจธุรกิจจริง
  • โตมาแบบสบาย ไม่ได้คลุกวงในกับกิจการ
  • ไม่เข้าใจลูกค้า ไม่รู้ว่าธุรกิจหาเงินยังไง
  • ขาดวิธีแก้ปัญหาเวลาเกิดวิกฤต

 
3. ขาดทักษะการบริหาร – เก่งไม่ตรงจุด
  • อาจจบสูงเรียนสูง แต่ไม่มี “เซนส์ธุรกิจ”
  • ไม่ถนัดงานบริหารคน การเงิน การตลาด
  • มองไม่ออกว่าควรเปลี่ยนแปลงอะไรหรือควรทำอะไรเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด
4. ความขัดแย้งในครอบครัว
  • พี่น้องทะเลาะกัน แบ่งอำนาจไม่ลงตัว
  • ความคาดหวังของพ่อแม่ที่ต่างจากทายาท
  • ไม่มีการพูดคุยชัดเจนเรื่อง “ใครจะทำอะไร”
5. ไม่รู้จักปรับตัว
  • ยังใช้วิธีเดิมในโลกที่เปลี่ยนไป
  • ไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่
อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้เป็นแค่ข้อมูลส่วนหนึ่งเพราะมีตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวที่ลูกหลานสานต่อและเพิ่มเติมความยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจได้ยกตัวอย่างเช่น Samsung ก่อตั้งโดย Lee Byung-chul ในปี 1938 หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของ เกิดขึ้นเมื่อครั้งบุตรชายคนที่ 3 เข้ามาบริหาร และได้เปลี่ยน Mindset ใหม่ให้กับธุรกิจครอบครัว ด้วยการเอา “มืออาชีพ” มานั่งในตำแหน่งต่างๆ ของบริษัท 
 
นอกจากนี้ยังได้นำระบบมาตรฐานต่างๆ มาใช้ภายในองค์กร เช่น การจัดระบบบัญชีและภาษี ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากธุรกิจครอบครัว ไปสู่ Global Company ได้ในที่สุด
 
 
หรือธุรกิจเครื่องสำอางและบำรุงผิวอย่าง Estée Lauder ที่ก่อตั้งในปี 1946 เริ่มจากการเป็นธุรกิจครอบครัว และ Generation ที่ 2 ได้เข้ามาบริหารจัดการก้าวข้ามคำว่าธุรกิจครอบครัว ดึงเอามืออาชีพเข้ามาช่วยบริหาร ผสมผสานกับการปฏิวัติด้านเทคโนโลยี ด้วยการตั้ง Lab วิจัย มีนักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ความงาม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ 
 
การทำธุรกิจและมีลูกหลานเข้ามาสานต่อไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่สิ่งสำคัญคือองค์ความรู้+ประสบการณ์ที่ต้องให้ผสมผสานกันอย่างลงตัว คนรุ่นใหม่ก็ต้องฟังประสบการณ์จากคนรุ่นเก่าที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน รู้ว่าควรทำอะไรหรือยังไม่ควรทำอะไร 
 
ในขณะเดียวกันคนรุ่นเก่าก็ต้องให้สิทธิ์ในการออกความคิดเห็น หรือฟังเหตุผลจากคนรุ่นใหม่ ที่อาจมีวิธีที่น่าสนใจหรือเข้ากับยุคสมัยได้มากกว่า ถ้าทั้งรุ่นเก่า+รุ่นใหม่ ทำงานได้อย่างสอดประสาน ธุรกิจจะมีโอกาสเติบโตไปข้างหน้าไม่ว่าจะกี่รุ่นกี่ยุคสมัยธุรกิจก็ยังจะโตไปได้เรื่อยๆ
 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
605
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
491
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
473
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
413
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
404
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
397
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด