บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
266
2 นาที
17 พฤศจิกายน 2568
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไม่คิด - เน้นขาย.. ไม่ผลิต
 

ประเทศไทยกำลังติดอยู่ใน "กับดักวัฏจักรบริโภคนิยม" ที่วนเวียนไม่จบสิ้น สิ่งที่เห็นชัดเจนในยุคสมัยนี้คือ คนส่วนใหญ่ เสพมากกว่าสร้าง , ซื้อมากกว่าคิด , ขายมากกว่าผลิต ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตแบบผิวเผิน แต่ฐานรากเปราะบาง 
 
แน่นอนว่าเมื่อวิกฤตมาเยือน เช่น โควิด-19 หรือสงครามการค้า ประเทศจึงสะเทือนหนักกว่าชาติอื่น ๆ ที่มีพื้นฐานการผลิตและนวัตกรรมแข็งแกร่ง
 
ถ้าไล่เรียงไปดูปัญหาที่เป็นผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจของเมืองไทยพบว่ามีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ
  1. หนี้ครัวเรือนและการบริโภคที่อ่อนแอ โดยหนี้ครัวเรือนมีสูงถึง 90% ของ GDP ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย ธุรกิจค้าปลีก / ร้านอาหาร / บริการ ได้รับผลกระทบทั่วถึง ยอดขายบางทีอาจทรงตัวแต่กำไรลดลงมากจากต้นทุนหลายด้านที่เพิ่ม
  2. ภาระหนี้สินของธุรกิจ SMEs ยังคงมีสูง ซึ่งธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ กำลังเผชิญความเสี่ยงสูงสุดบริษัทส่วนใหญ่ยังอยู่รอดได้ด้วยสินเชื่อเงินกู้แต่ตัวธุรกิจไม่มีกำไร
  3. ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอัตราภาษีจากต่างประเทศ รวมถึงการต้องแข่งขันกับตลาดจีนที่มีสินค้าเข้ามาเจาะตลาดเพิ่มสูงมาก เป็นผลกระทบโดยตรงที่ยิ่งสร้างให้ธุรกิจไทยมีความเปราะบางมากขึ้น
อย่างไรก็ดีทุกปัญหาและทุกปัจจัยกลับกลายเป็นการกระตุ้นให้คนไทยติดอยู่ในกับดักที่ไม่มีวันจบสิ้น และถ้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองให้พ้นกับดักนี้จะเป็นสัญญาณอันตรายต่อภาพรวมของเศรษฐกิจในอนาคตมากขึ้น
 
เน้นเสพ.. ไม่สร้าง : วัฒนธรรมบริโภคที่กลืนกินการลงทุนสร้างสรรค์
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

สังคมไทยยุคใหม่ คนไทย "เสพ" มากกว่า "สร้าง" จนกลายเป็นชาติผู้บริโภคเนื้อหาและสินค้านำเข้า โดยไม่ลงทุนผลิตของตัวเอง เห็นภาพได้ชัดเจนจากตัวเลขในปี 2567 ที่มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท 
 
ขณะที่การลงทุนใน R&D (วิจัยและพัฒนา) อยู่ที่เพียง 1.33% ของ GDP เทียบกับเกาหลีใต้ 4.9% และอิสราเอล 5.4% จะเห็นได้ชัดว่าตัวเลขของเราต่ำกว่ามาก หรืออีกตัวอย่างที่เด่นชัดคือในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix มีผู้ใช้ในไทยกว่า
 
7 ล้านบัญชีแต่คอนเทนต์ไทยที่ผลิตเองมีสัดส่วนไม่ถึง 5%  รวมถึงวัฒนธรรมที่เน้นการบริโภคตามกระแส (Fast Fashion) เช่น การเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ทุกปี เป็นการเร่งการ "เสพ" สิ่งใหม่โดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน และไม่สนใจว่าสินค้าเหล่านั้น "ถูกสร้าง" หรือ "ผลิต" ขึ้นที่ไหน 
 
ด้วยเทคโนโลยีอะไร และกระแส “เน้นเสพ ไม่เน้นสร้าง” นี้ยังมีผลไปถึงวัยแรงงานเพราะเยาวชนไทย 70% อยากเป็น "อินฟลูเอนเซอร์" มากกว่านักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกร
 
เน้นซื้อ.. ไม่คิด: นำเข้าทุกอย่าง แต่ไม่พัฒนาเทคโนโลยีเอง
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

ปัญหาใหญ่อีกเรื่องที่น่ากังวลจะกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวของไทยคือการที่เราซื้อสินค้าเทคโนโลยีสำเร็จรูป แต่ไม่คิดพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง จนกลายเป็น "โรงงานประกอบ" ไม่ใช่ "ศูนย์กลางนวัตกรรม" 
 
โดยในปี 2567 มีการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท แต่สิทธิบัตรที่จดโดยคนไทยมีเพียง 1,200 ฉบับต่อปี เทียบกับจีนที่มีถึง 1.5 ล้านฉบับ เด่นชัดที่สุดคือโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในไทย 99% ประกอบในไทย แต่ชิปและซอฟต์แวร์หลักมาจากต่างชาติ 
 
แม้ว่าไทยเป็นฐานผลิต iPhone ให้ Apple แต่มูลค่าเพิ่มที่ไทยได้จริงเพียง 3-5% ของราคาขายเท่านั้น ไม่เพียงแค่นั้นบริษัทไทยกว่า 80% ยังใช้เทคโนโลยีนำเข้าทั้งหมด 

เน้นขาย.. ไม่ผลิต: ขายของนำเข้า แต่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม
 
ประเทศไทยถนัด "ขาย" สินค้านำเข้าในประเทศและส่งออกวัตถุดิบ แต่ไม่ผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงตัวเลขที่เจ็บปวดคือปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป คิดเป็น 12% ของการส่งออกทั้งหมด แต่สินค้าไฮเทคกลับมีเพียง 8% ในขณะที่เวียดนามส่งออกสินค้าไฮเทค เกิน 40%  ถ้ายังมองไม่เห็นภาพต้องดูที่ตัวเลขการส่งออกยางพาราโดย
 
ไทยส่งออก ยางพาราดิบอันดับ 1 ของโลก ประมาณ1.8 ล้านตัน/ปี แต่กลับต้องนำเข้าโฟมยางและผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่กำไรส่วนใหญ่ไหลไปให้นายทุนต่างชาติ ส่วนไทยได้แค่ "ค่าแรง" และ "ค่าบริการ" เท่านั้น
 
กับดับประเทศไทย “รับ” มากกว่า “สร้าง” ในมุมของแฟรนไชส์
 

เป็นตัวอย่างที่สะท้อนความเป็นกับดักประเทศไทยได้ชัดเจน โดยเฉพาะการที่ธุรกิจจากจีนทั้งที่เป็นแฟรนไชส์และไม่ใช่ แฟรนไชส์เข้ามาบุกตลาดเมืองไทยเยอะมาก สอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทยที่ชอบโมเดลธุรกิจพร้อมใช้ ลดความเสี่ยง ซึ่งมูลค่าตลาดแฟรนไชส์ไทยในปี 2024 ที่ผ่านมาประมาณ 300,000 ล้านบาทอัตราโตต่อปี 9-10% แต่ถ้ามองลึกไปพบว่าส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์นำเข้า ที่ต่างชาติครองกว่า 50% ของมูลค่าตลาด
 
หรือการที่การลงทุนร้านอาหารจีนในเมืองไทยมีตัวเลขเพิ่มขึ้นมาก ในปี 2022 มีแค่ 0.52% แต่มาถึงในปี 2024 ที่ผ่านมามีสูงถึง 58.78% ของธุรกิจร้านอาหารใหม่ในเมืองไทย 
 
และถ้าสำรวจตลาดแฟรนไชส์ก็อย่างที่ทราบว่ามีแบรนด์จีนเข้ามาตีตลาดเมืองไทยเยอะมากไม่ว่าจะ Mixue , Wedrink , Bing Chun , NaiXue , Haidilao เป็นต้น จึงถือเป็นเรื่องที่หลายคนอาจไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่และอาจมีมุมมองว่าเป็นโอกาสดีในการได้ทำธุรกิจกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง แต่ในอีกมุมหนึ่งคือการลดประสิทธิภาพของธุรกิจไทยที่นับวันจะหดหายไปเรื่อยๆ
 
ทั้งนี้ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนคนเก่ง แต่ขาด "ระบบที่ส่งเสริมให้คนเก่งสร้าง คิด ผลิต" รวมถึงการส่งเสริมให้ถูกต้องจากหน่วยงานภาครัฐ ยกตัวอย่างที่เห็นชัดคือเมื่อสินค้าหรือบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ของคนไทยออกสู่ตลาด มักถูกตั้งคำถามเรื่องราคาว่า "แพงเกินไป" เมื่อเทียบกับคู่แข่งต่างชาติที่อาจผลิตในปริมาณที่มากกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยขาดทุนหมุนเวียนในการพัฒนาต่อยอด 
 
ซึ่งการแก้ไขกับดักนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเริ่มจากการเปลี่ยน "ทัศนคติ" ของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐและเอกชนด้วย

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
อวสาน E-commerce ไทย? ต่างชาติรุกหนัก ตลาดไทยกำล..
853
อวสานร้านอาหาร! คนทำทยอยเซ้ง คนเจ๊งทยอยขาย
658
เศรษฐกิจยังทรุด! 9 แบรนด์ดังไทย-เทศ “ปิดกิจการ-ล..
537
จิตวิทยาตั้งราคา! Psychological Pricing ทำให้ลูก..
465
โชว์รูมรถ ปี68 ปิดเกือบ 100 หายนะเศรษกิจไทย
428
เทคนิคร้านอาหารเพิ่มกำไรธุรกิจ 18% สู้กลับยุคแข่..
425
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด