บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    ความรู้ทั่วไปทางการเงิน
268
3 นาที
24 ธันวาคม 2568
รวมเทคนิคลับ! ยุคเงินเฟ้อ ขายแพงแค่ไหน ก็ยังอยากซื้อ
 

อัตราเงินเฟ้อในเมืองไทยตอนนี้ (ปลายเดือนพฤศจิกายน 68) กำลังอยู่ในช่วง “ติดลบ” ดูว่าสินค้าและบริการจะมีราคาที่ลดลงถ้าเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็เป็นภาวะที่ไว้วางใจไม่ได้ 
 
ถ้าดูอัตราเงินเฟ้อล่าสุดเดือนพฤศจิกายนอยู่ประมาณ -0.70 % ซึ่งเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบ 1.0–3.0% เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 
 
“เงินเฟ้อ” สัมพันธ์กับ “ราคาสินค้า” อย่างไร
 

เงินเฟ้อและราคาสินค้าคือสิ่งที่ต้องอยู่คู่กันแบบแยกไม่ได้ถ้าฝั่งเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลง ราคาสินค้าก็จะมีการปรับเปลี่ยนทันทีเช่นกัน ซึ่งคำว่า อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) คือ อัตราการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไป ในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น รายเดือนหรือรายปี) ถ้าอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนก็คือ เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิต ของผู้ประกอบการจะสูงขึ้นตามไปด้วย
  • ราคาวัตถุดิบ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง, เหล็ก, พลาสติก, หรือเมล็ดกาแฟ แพงขึ้น
  • พนักงานเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
  • ค่าขนส่งมากขึ้นจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ทำให้ค่าขนส่งสินค้าสูงขึ้น
ยิ่งกว่านั้นเมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้นผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการในปริมาณเท่าเดิม หากจะดูว่าเงินเฟ้อมากน้อยแค่ไหนก็วัดผลได้จากสินค้าใกล้ตัวอย่างไข่ไก่ เมื่อใดก็ตามที่เงินเฟ้อสูง ราคาไข่ก็พุ่งสูงตามนั้นคือสัญญาณว่าเงินในกระเป๋าของเราจะซื้อสินค้าอื่นๆ ได้น้อยลงด้วย
 
เปิดร้านขายดีด้วย “Dupe Economy” “คุ้มค่า” ดีกว่า “จ่ายแพง”
 

ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจยังมีความผันผวน กำลังซื้อของคนในช่วงนี้ยังอยู่ในภาวะอ่อนแอและชะลอตัว ส่วนใหญ่จะลดปริมาณการซื้อลง 15-30% โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย ภาคธุรกิจก็ต้องหันมาปรับตัวพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่ส่วนใหญ่เน้นความคุ้มค่ามากขึ้น 
 
กลยุทธ์อย่าง Dupe Economy จึงน่าสนใจและเหมาะสมที่จะเอามาใช้ คำว่า “Dupe” ย่อมาจาก “Duplicate” แปลตรงตัวคือ “ทำซ้ำ” หรือ “เลียนแบบ” การนำกลยุทธ์ Dupe Economy มาใช้ ไม่ได้หมายถึงการขายของลอกเลียนแบบ แต่เป็นการ นำเสนอทางเลือกที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า
  • ลูกค้ามองว่าการจ่ายเงินที่น้อยกว่า แต่ได้สินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันคือฉลาดในการเลือก
  • ต้องมุ่งเน้นการทำสินค้าหรือบริการที่มีสไตล์หรือรูปแบบพรีเมี่ยมแต่ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
  • เมื่อมีกระแสจากลูกค้าที่เห็นว่าถูกและคุ้มค่าจะกลายเป็น Social Trend ที่เพิ่มภาพลักษณ์และยอดขายได้มากขึ้น
ตัวอย่างสินค้าในเทรนด์นี้ เช่น สินค้าแฟชันและลักชัวรีต่าง ๆ อย่าง น้ำหอม กระเป๋า ไปจนถึงไดร์เป่าผมพรีเมียมอย่าง Dyson และเสื้อผ้าแบรนด์หรูต่าง ๆ และไม่ว่าสินค้าหรือบริการใดๆ ถ้านำเสนอสินค้าที่ให้ความคุ้มค่าในระดับ 80-90% ของแบรนด์พรีเมียม ในราคาที่ถูกกว่าย่อมกลายเป็นการเพิ่มยอดขายที่ดีในยุคเงินเฟ้อแบบนี้ได้
 
“Price Elasticity” ขายแพงแค่ไหน ลูกค้าก็ไม่หนี
 

Price Elasticity เป็นหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายถึง "ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา" หรือก็คือ เครื่องมือที่ใช้วัดว่า เมื่อเราเปลี่ยนราคาสินค้าไป 1% อุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) ของสินค้าจะเปลี่ยนแปลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ พูดง่ายๆก็คือ การดูว่า ลูกค้า "อ่อนไหว" ต่อการเปลี่ยนแปลงราคามากแค่ไหน และคุณสมบัติของสินค้าที่ทำให้ลูกค้า "ไม่หนี" มีอยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัยคือ
 
1. เป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิต (Necessity) สินค้าที่ผู้บริโภคขาดไม่ได้ เช่น ยาที่ใช้รักษาโรคเฉพาะทาง, น้ำมันเชื้อเพลิง, หรือ ไฟฟ้า แม้ราคาจะเพิ่มขึ้น คนก็ยังต้องซื้อเพื่อดำรงชีวิต
 
2. ไม่มีสินค้าอื่นทดแทนได้ง่าย (Few Substitutes) หรือสินค้าทดแทนมีคุณภาพ/คุณสมบัติที่ต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่น iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีฟีเจอร์เฉพาะตัว หรือ กาแฟสูตรเฉพาะของร้านดัง ที่คอกาแฟไม่สามารถทดแทนด้วยกาแฟสำเร็จรูปทั่วไปได้
 
3.เป็นสินค้าที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับรายได้ของผู้บริโภค (Small Proportion of Income) แม้จะขึ้นราคาเป็นเท่าตัว ก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อมากนัก เช่น เกลือ หรือ ไม้ขีดไฟ ต่อให้ราคาขึ้น 50% ก็ยังเป็นเงินจำนวนน้อยมากในงบประมาณรายจ่ายของคนทั่วไป
 
ดังนั้นถ้าธุรกิจจะผนวกใช้ Price Elasticity ในยุคเงินเฟ้อต้องพิจารณาก่อนว่า สินค้าของเรามีแนวโน้มเป็น Inelastic Demand คือสินค้าจำเป็น, ไม่มีตัวแทน, เป็นแบรนด์แข็งแกร่ง เราก็มีอำนาจในการขึ้นราคา เพื่อเพิ่มผลกำไร 
 
หรือถ้าพิจารณาแล้วว่าสินค้าของเรามีแนวโน้มเป็น Elastic Demand หรือสินค้าที่มีตัวเลือกอื่นมากมาย, ไม่ใช่สินค้าจำเป็น เราควรเน้นการแข่งขันด้วยราคาที่เหมาะสม หรือใช้กลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง เพื่อให้กลายเป็นสินค้าที่ "หาตัวแทนไม่ได้" ในสายตาผู้บริโภค
 
Veblen Effect ยิ่งแพงยิ่งอยากได้
 

กลยุทธ์นี้จะสวนทางกับ 2 กลยุทธ์แรกที่กล่าวไปอย่างสิ้นเชิง เป็นข้อยกเว้นที่เกิดเฉพาะกับ สินค้าฟุ่มเฟือยที่ซื้อเพื่ออวดสถานะ ลูกค้าที่จะซื้อสินค้านี้ในยุคเงินเฟ้อพุ่งสูงไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าสินค้าใช้ดี แต่ซื้อเพราะต้องการอวดให้คนเห็นว่า “รวยพอจะซื้อของชิ้นนี้ได้” จึงเป็นกลยุทธ์ของพวกแบรนด์เนมที่นิยมใช้โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นลิมิเต็ดต่างๆ 
 
หรือถ้าจะเอาตัวอย่างที่เห็นชัดกับกลุ่มธุรกิจทั่วไปเช่น ร้านอาหารระดับมิชลินหรือภัตตาคารระดับหรูที่ยิ่งจองคิวยากคนยิ่งอยากไป หรือที่พักอาศัยอย่างคอนโดทำเลติดแม่น้ำหรู รวมถึงรถยนต์ที่เป็นซุเปอร์คาร์ต่างๆ ด้วย 
 
แน่นอนว่ากลยุทธ์นี้ไม่ได้ออกแบบมาใช้กับสินค้าทั่วไปแต่เจาะจงไปในกลุ่มที่มีความต้องการเน้นสถานะทางสังคม ซึ่งอาจไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ของประเทศ แต่การอธิบายถึงกลยุทธ์นี้ก็เพื่อให้เป็นข้อมูลเพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิธีสร้างยอดขายในยุคเงินเฟ้อพุ่งสูงได้เช่นกัน
 
รวมเทคนิคลับขายสินค้ายุคเงินเฟ้อ ฉบับทำได้ง่ายๆ
 

 
ในส่วนของกลยุทธ์ต่างๆ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เห็นว่าจะเอามาใช้ได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้หาวิธีใกล้ตัวแบบง่ายๆ มานำเสนอสำหรับการนำไปใช้ได้ง่ายในตลาดทั่วไปตั้งแต่กลาง-ล่าง
 
1.เน้นขายขาย “ความรู้สึก” ไม่ได้ขายของ ใกล้เคียงกับ Dupe Economy ที่เน้นให้ความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญมองเรื่องราคาที่ต้องจ่ายเป็นอันดับรองเช่นกาแฟแล้วละ 150-200 แต่เป็นสินค้าที่มีStory หรือมีการจัดร้านให้รู้สึกว่าได้มากกว่าการดื่มกาแฟ เมื่อลูกค้ามองเห็นความรู้สึกที่คุ้มค่าก็ยอมจ่ายแพงได้
 
2.สร้าง Community และความรู้สึก “เป็นเจ้าของ” เป็นเทคนิคที่มักมาในรูปแบบของการสมัครสมาชิกและให้สิทธิพิเศษที่ดียิ่งกว่า เมื่อคนรู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าหรือว่าธุรกิจนั้น ย่อมไม่รู้สึกถึงเรื่องราคาแม้ว่าบางทีร้านที่เคยซื้อนี้อาจจะราคาแพงกว่าร้านคู่แข่งด้วยซ้ำ
 
3.ขาย “สุขภาพ” และ “ความกลัว” คนเราจะยอมจ่ายก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ได้มานั้นคุ้มโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ยกตัวอย่างอาหารคลีนที่แม้จะมีราคาแพงแต่ยังมีลูกค้าอยากซื้อเพราะกลัวการรับประทานอาหารอื่นแล้วไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว หรือแม้แต่การไม่เลือกทำอาหารสุขภาพเองเพราะรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะทำได้ไม่ดีพอจะไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการจึงเลือกที่จะซื้อเพราะสะดวกและมั่นใจมากกว่า
 
ดังนั้นการนำเอาเทคนิคลับเหล่านี้ไปศึกษาและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มยอดขายในยุคเงินเฟ้อพุ่งสูงได้ อย่างไรก็ดีการขึ้นราคาหรือการตั้งราคาสินค้ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ต้องนำมาคิดควบคู่กันไป 
 
ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละธุรกิจ แต่พื้นฐานสำคัญสุดคือสินค้าในยุคเศรษฐกิจผันผวนแบบนี้ต้องเน้นที่ความรู้สึกของลูกค้าให้มากเพื่อโอกาสในการสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
641
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
582
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
534
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
474
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
462
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
455
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด