5 เทรนด์สินค้าสุดเลิศหรูที่พร้อมเปิดตัวในปี 2017
 

หนึ่งในความสนใจของปี 2017 คือเทรนด์การตลาดจะเป็นทิศทางไหน และความต้องการขอผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การจับจุดความต้องการให้ได้ก่อนใครจะถือเป็นความได้เปรียบที่ดีมาก

แต่ทั้งนี้ก็มีกลุ่มตลาดPremium ที่อาจจะมองต่างออกไปกลุ่มนี้มีทิศทางการตลาดที่พัฒนาแบรนด์ให้สุดโต่งเรียกว่ายิ่งล้ำ ยิ่งน่าสนใจ จึงเป็นสินค้าสุดหรูหราที่มีฐานลูกค้าระดับสูงให้ความสนใจ

 

และเพื่อให้เราได้มองเห็นสินค้าระดับนี้ก่อนใคร www.ThaiFranchiseCenter.com จึงรวบรวมเอาเทรนด์สำคัญของสินค้าพรีเมี่ยมเหล่านี้มานำเสนอซึ่งแบรนด์ที่ว่านี้น่าจะพร้อมเปิดตัวในปีหน้าซึ่งบางแบรนด์ก็มีการชิมลางไปบ้างแล้วแน่นอนว่าราคาของสินค้าเหล่านี้เรียกว่าแพงมากมายมหาศาลทีเดียว

 

ปัจจุบันผู้คนให้มาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นเห็นได้จากคอร์สออกกำลังกายรูปใหม่ๆ ตามฟิตเนสที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด รวมถึงอุปกรณ์ที่สามารถสวมใส่ได้ (Wearable Tech) และ App บน Mobile Device มากมายช่วยกิจกรรมสร้างสุขภาวะทั้งกายใจ ให้สะดวกขึ้นที่ทยอยออกสู่ตลาด

แต่ถ้าอยากให้คนกระเป๋าหนักหันมาสนใจทุกอย่างที่กล่าวมา ต้องเพิ่ม ความอัจฉริยะ ความแปลกใหม่ หรูหราและหายากขั้นกว่าเข้าไปด้วย เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้อยากใช้ของเสริมภาพลักษณ์และใครๆ ต่างอิจฉาทุกครั้งเมื่อพูดถึงหรือ Share บน Social Media ตัวอย่างสินค้าที่พร้อมตอบสนองความต้องการนี้เช่น

 

Samsung S2 By De GRISOGONO แบรนด์เครื่องประดับหรูหราในสวิตเซอร์แลนด์ที่เปิดตัว Gear S2 – Smartwatch ล้อมเพชรรอบหน้าปัดทอง สายรัดทำจากหนังปลาฉลามดำขลับ ราคาเรือนละ 15,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 510,00 บาท) คนที่อยากได้ไปครองต้องสั่งทำเท่านั้น

รวมถึง ทัวร์เรือสำราญอย่าง Seabourn ที่จะเปิดตัวในมกราคมปีหน้า ก็เตรียมพาพร้อมจ่าย 5,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 170,000 บาท) จะได้เรียนโยคะ ทำสมาธิ รับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ บำบัดปัญหาชีวิต เข้าคอร์สสร้างสุขภาวะทั้งกายใจ กลางทะเลอีกด้วย

ทุกวันนี้ Internet , Smart Device และ Social Media ทำให้การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ง่ายขึ้น เปิดทางให้แบรนด์สามารถทราบข้อมูลต่างๆ ทั้งรสนิยม ประวัติการซื้อสินค้าและพิกัดร้านที่ใช้บริการของผู้บริโภคที่เชื่อมต่อกันผ่านเทคโนโลยีไร้สายต่างๆ

แต่จากรายงานของKnight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า 39% ของกลุ่มคนที่รายได้สูงมาก (Ultra High Net Worth Individual UHNWI) ต้องการปกป้องข้อมูลธุรกิจให้ดีแบบสุดยอด

พวกเขาจึงพร้อมใช้รายได้ที่มีเหลือเฟือ จ่ายไปเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญ (Very Important Data -V.I.D) โดยแบรนด์ที่สน Trend นี้ หากไม่ได้อยู่ในวงการเทคโนโลยี ก็สามารถร่วมมือกับองค์กรที่ถนัดเรื่องนี้ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์สร้างความอุ่นใจให้ผู้บริโภคเปี่ยมความมั่งคั่งได้ยกตัวอย่างเช่น

 

บริษัท Bvlgari Vault ที่สร้าง Appปกป้องข้อมูลสำคัญใน Smartphone ทั้งบนระบบปฏิบัติการ Android และ iOS เป็นการทำงานกับWISeKey บริษัทรักษาความปลอดภัยข้อมูล Digital โดยข้อมูลทั้งเก็บอยู่ Cloud ความจุ 3 GBของบริษัทหลัง เข้าถึงได้ผ่าน 4 วิธีตามที่เลือก เช่นระบบจดจำใบหน้า ค่าบริการปีละ 53 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 1,800 บาท) ต่อปี

 

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักถูกจับจ้องจากสังคม ทำให้แบรนด์ไฮเอนต่างๆใช้ความรู้สึกเหล่านี้มาตอบแทนสังคมด้วยสารพัดวิธีการทั้ง Bill Gates และ Mark Zuckerberg คือตัวอย่างของที่ดีในเรื่องนี้บริษัท

หรือบุคคลที่เห็นด้วยว่าวิธี “ให้ไป” สำคัญไม่แพ้การ “ได้มา” จึงผลักดัน Campaign หรือผลิตภัณฑ์ที่มีจุดประสงค์ดีออกมา โดยส่วนใหญ่ยังเข้าข่ายสินค้าหรู ทั้งด้วยราคาหรือการเป็นโฆษณาของแบรนด์ระดับ Premium

 

ยกตัวอย่างเช่น  Hangar One โรงกลั่นสุราในนคร San Francisco รัฐ California ของสหรัฐจับมือกับ Fogquest องค์กรอิสระ (NGO) เพื่อการบริหารจัดการน้ำและ Bonny Doon ไร่องุ่นที่ใช้น้ำตามแนวทางเกษตรยั่งยืน

นำไอน้ำจากหมอกมาทำไวน์ โดยไวน์ชื่อเดียวกับ Campaign ใช้เวลาผลิตทั้งหมด 6 เดือน ราคาขวดละ 125 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 4,250 บาท) โดยเอากำไรทั้งหมดมอบให้กับหน่วยงานอนุรักษ์ใน California 

 

เรียกว่าเป็น Extravagance Economy หรือหรูตามสั่ง โดยเป็นอีกครั้งที่ระบบอินเทอร์เนตเข้ามามีบทบาทกับเทรนด์หรูหราที่ว่านี้ โดยเป็นการผลักดันให้ผู้ที่มีความต้องการและมีเงินมหาศาลสามารถใช้ช่องทางนี้ทำสินค้าเพื่อส่งมอบให้ตัวเองแบบที่เรียกว่ามีชิ้นเดียวในโลก และดูเหมือนว่าในตลาดไฮเอนแบบนี้จะเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งซึ่งก็มีหลายแบรนด์ที่เปิดช่องทางนี้ต้อนรับลูกค้ากันมากขึ้น

 

เช่น Quiero Taxi Exotico  บริการเรียก Taxi ผ่าน App ใน Cancun เมืองตากอากาศทางตะวันออกเฉียงใต้ของ Mexico สร้างความแตกต่างด้วยรถ Super Car หลายแบรนด์ เช่น Lamborghini และ Ferrari ค่าบริการต่างกันไปตามรถที่เลือก

หวังจับกลุ่มนักท่องเที่ยวเงินหนาที่มีเป็นจำนวนมาก หรือ The Drop Off  มื้อค่ำแบบครบวงจร ระดับ Premium ซึ่งสามารถเรียกผ่าน App ของ Hunter VII Hunter บริษัทรับจัดเลี้ยงในอังกฤษ ให้บริการเฉพาะในกรุง London ของอังกฤษ ลูกค้าเลือกได้หมดทั้งประเภทอาหาร ไวน์ รูปแบบการจัดดอกไม้ สไตล์การจัดโต๊ะ ค่าบริการคนละ 49 ปอนด์ (ราว 1,935 บาท)

โลกหมุนไป หลายสิ่งอย่างเปลี่ยนตาม รวมถึงกรอบกำหนดกลุ่มผู้บริโภคด้วย โดยอายุ เพศ ที่อยู่ และรายได้ อาจลดความสำคัญลงไป เพราะพวกเขามีอิสระในการ “กิน อยู่ ใช้” ตามใจ ตามรสนิยมได้มากขึ้น

หลัง Internet เปิดทางให้เข้าถึงข้อมูลได้มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนแบรนด์หรูต้องปรับตาม โดยเฉพาะกำหนดตำแหน่งของแบรนด์ใหม่ (Repositioning) เพื่อให้สอดรับรสนิยมใหม่ ความคาดหวังใหม่ของผู้บริโภค ซึ่งชัดเจนว่าต่างไปจากเดิม
 

ยกตัวอย่างเช่นLamborghini ซึ่งเป็นแบรนด์รถที่เน้นเรื่องความแรง ดุดัน เป็นที่ไฝ่ฝันของผู้ชายทุกคน ตามภาพลักษณ์ของรถ Super Car

ทว่าในปีหน้าค่าย Lamborghini เตรียมลดความดุดันลงแล้วหันไปจับตลาดครอบครัวและสาวโสดด้วยรถเอนกประสงค์ (SUV) ด้วยรุ่น Urus ตามนโนบายของซีอีโอ Stefano Demenicali หรือ RM 68-01 Tourbillon Cyril Kongo นาฬิกาหรูของสวิส ที่จับมือกับ Cyrill “Kongo” Phan ศิลปิน Graffiti ชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเวียดนามเพื่อบรรจงพ่นลวดลายสีสันลงบนกลไกและฟันเฟืองของนาฬิกา แม้จะราคาสูงถึง 685,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 23 ล้านบาท) แต่ผลิตจำกัดเพียง 30 เรือนแต่ทั้งหมดก็มีคนจองเรียบร้อยไปแล้ว

 

แม้จะมองดูว่าตลาดระดับสูงของคนมีเงินเช่นนี้คงเป็นการยากที่คนทั่วไปจะเข้าถึงแต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแนวการตลาดที่ใครมีความสามารถก็สามารถเข้าไปแชร์การตลาดร่วมด้วย ข้อดีของตลาดนี้คือการที่มีลูกค้าเงินถุงเงินถัง

เพียงแค่มีสินค้าที่ตอบสนองในความต้องการลูกค้าก็จะตัดสินใจซื้อทันทีโดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา ขอให้เป็นสินค้าแบบซุปเปอร์พรีเมี่ยมที่ดีกว่าที่ไม่เหมือนใคร มีเท่าไหร่ก็ขายได้หมดแน่นอน