ใครๆก็อยากมีธุรกิจของตัวเอง การเป็นนายตัวเองดูจะเป็นความต้องการที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่คิดแล้วจะทำสำเร็จ มีองค์ประกอบมากมายที่หลายคนก้าวเข้ามาสู่แวดวงคนทำธุรกิจแล้วสุดท้ายก็ไปไม่รอด ถ้าถามว่าการทำธุรกิจเป็นเรื่องยากแค่ไหนคำตอบก็คือไม่ใช่เรื่องยากแต่สิ่งที่ยากคือการที่ผู้ลงทุนไม่มีความพร้อมไม่มีการตลาดที่ดีพอบางครั้งการมีแค่ความตั้งใจก็ไม่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้

 

ทั้งนี้สิ่งสำคัญอีกประการที่ www.ThaiFranchiseCenter.com มองเห็นนั้นคือกลยุทธ์การรู้เขารู้เราที่ใช้ได้ดีในทุกแวดวงการแข่งขัน คำว่ารู้เราคือต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา และคำว่ารู้เขาที่แบ่งแยกออกได้หลายอย่างทั้งการรู้จักลูกค้า รู้จักคู่แข่ง รู้จักความต้องการ รวมถึงการรู้จักตลาดในอนาคต สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยแวดล้อมที่บอกได้ว่าจะทำให้ธุรกิจเราประสบความสำเร็จได้แค่ไหนยิ่งรู้เขารู้เรามากเท่าไหร่โอกาสถึงผลกำไรในทางธุรกิจก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

 

1.เริ่มต้นกับการรู้จักตัวเอง
 

 

เจอข้อนี้เข้าไปหลายคนส่ายหน้าบอกว่าตัวเองก็ต้องรู้จักตัวเองดีที่สุดอยู่แล้ว  แต่เปล่าเลย! บางคนที่ว่ารู้จักตัวเองดีบางทียังไม่เข้าใจตัวเองดีพอด้วยวซ้ำไป  โดยเฉพาะในการทำธุรกิจเราต้องแยกให้ได้ว่าธุรกิจนี้เราทำขึ้นมาเพราะอะไร “อยากทำ” หรือว่า “ทำตามคนอื่นสั่ง” หรือว่า “ทำเลียนแบบคนอื่น” ก่อนอื่นการเริ่มต้นธุรกิจที่ดีต้องมาจากความรู้สึกที่ “อยากทำ” และอยากทำให้ลูกค้ามีความสุขกับธุรกิจนั้น ถึงจะเรียกว่าเข้าใจตัวเองในเบื้องต้น เรายังไม่พูดถึงเรื่องกำไรในข้อนี้เพราะการรู้จักความต้องการตัวเองคือก้าวแรกของการเริ่มต้นหากยังเริ่มข้อนี้ไม่ได้ก็ไปถึงข้ออื่นไม่ได้เช่นกัน

 

การตั้งสมมุติฐานของธุรกิจอย่ากำหนดตัวเงินเป็นที่ตั้งเพราะนั้นจะนำพาเราไปสู่เส้นทางที่ผิดเพี้ยนคือเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินทำทุกอย่างเพื่อให้มีกำไรแบบไม่สนวิธีการ ซึ่งสุดท้ายลูกค้าก็จะเดินหน้าไปจากธุรกิจของเราซึ่งอาจจะรุ่งเรืองแค่ช่วงแรกๆ แต่ระยะยาวธุรกิจเราไม่มีกำไรแน่นอน

 

 

เริ่มต้นจากการรู้เรา ต่อมาก็คือรู้เขาที่สามารถแยกออกมาได้ทั้งการรู้จักลูกค้า และคู่แข่งทางการค้า ในข้อนี้มาเริ่มที่การรู้จักลูกค้าของตัวเองให้มากขึ้น ยิ่งรู้จักมากโอกาสที่ธุรกิจจะมีกำไรก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน หลังจากกำหนดโจทย์ตัวเองว่าธุรกิจไหนคือสิ่งที่เป็นตัวตนของเรามากที่สุดทีนี้ก็มองดูลูกค้าคนสำคัญเราต้องพิจารณาให้เจอและคำนวณได้ว่ามีปริมาณมากน้อยแค่ไหนและคุ้มค่าพอที่จะลงทุนหรือเปล่า

 

ในตำราธุรกิจมีศัพท์เทคนิคคำหนึ่งคือคำว่า Petential Customer ซึ่งหมายถึงคนที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของเราในวันนี้ แต่มีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าได้ในวันหน้า เมื่อเขามีอายุมากขึ้นหรือเมื่อมีรายได้มากขึ้น เช่น ลูกค้าในอนาคตของเสื้อผ้าวัยรุ่นก็คือเด็ก หรือลูกค้าในอนาคตของผ้าอ้อมผู้ใหญ่ก็คือคนทำงานใกล้เกษียณทุกคน เป็นต้น  

แม้ในตำราจะพูดเฉพาะโอกาสที่จะมีลูกค้าใหม่ แต่ในความเป็นจริงเราต้องมองถึงโอกาสที่จะเสียลูกค้าในปัจจุบันด้วย บางคนเป็นลูกค้าของเราในวันนี้แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นลูกค้าตลอดไป ลูกค้าก็เปรียบเหมือนน้ำ มีทั้งไหลเข้า มีทั้งไหลออก กิจการที่ประสบความสำเร็จจะต้องพยายามรักษาลูกค้าไม่ให้ไหลออกและก็พยายามหาวิธีให้ลูกค้าไหลเข้า

สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งไม่ได้เน้นตลาดMass การโฟกัส Petential Customer สำคัญมากๆ ต้องพยากรณ์ให้ได้ว่าตลาด Niche ที่เป็นอยู่จะไม่เหลือนิดเดียวในอนาคตอันใกล้ แต่การเพิ่มจำนวนลูกค้าไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ดังนั้น แทนที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้า ก็หาวิธีให้ลูกค้าคนเดิมใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น นี่คือที่มาของการทำระบบบัตรสมาชิกหรือ CRM ต่างๆ เพื่อหวังรวบกระเป๋าตังค์ลูกค้าไว้คนเดียว 

 

 

เป็นการรู้เขาที่เราต้องรู้จักให้มากเช่นกันไม่ว่าจะเป็นคนเก่าในวงการหรือคนใหม่ยังไม่เริ่มธุรกิจ ก็สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นเจ้าตลาด ใครมียอดขายมาก ซึ่งในการมองคู่แข่งอยากให้คิดแยกเป็น 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ ‘เขามีอะไรดี’ ที่ลูกค้าชอบ เรื่องที่สองคือ ‘เขามีอะไรไม่ดี’ ที่ลูกค้าบ่นเป็นประจำ เรื่องที่สามคือ ‘เขายังไม่มีอะไร’ ที่ลูกค้าบอกอยากได้ 

 

การรู้จักคู่แข่งโอกาสสร้างความแตกต่างทางธุรกิจก็มีมาก นั้นคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ลูกค้าสนใจธุรกิจเราขึ้นมาได้ในยุคนี้มี Social media ที่ทำให้ผู้ประกอบการรู้ได้ง่ายขึ้นว่าลูกค้าไม่พอใจเรื่องใด การทำธุรกิจโดยคิดจากจุดเปลี่ยนนี้ก็คือแนวทางการทำ Startups ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันด้วย

แต่ทั้งนี้การทำธุรกิจจะต้องทำทั้งเรื่องที่ลูกค้าคุ้นและเรื่องใหม่ที่ต้องการ นั่นคือมีบางเรื่องที่ต้องแข่งขันอาจไม่ต้องชนะคู่แข่งขอแค่สูสีก็พอ และมีบางเรื่องที่เป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่ง หรือคู่แข่งยังไม่มี และที่สำคัญลูกค้าก็ต้องการมากๆ ด้วย

 

 

การมีจุดเปลี่ยนของสินค้าที่ต่างจากคู่แข่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องดีแต่ก็ยังไม่ที่สุด สิ่งที่เราต้องรู้ลึกต่อมานั้นคือความต้องการเชิงลึก (Unmet needs) ที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกลูกค้า เรื่องนี้จำเป็นที่ต้องใช้เทคนิคการวิจัยตลาดที่หลากหลาย ทั้งการสังเกตพฤติกรรม การดูเทรนด์ รวมไปถึงสัมภาษณ์ลูกค้า เรียกว่าเทคนิคผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์

เช่น เดี๋ยวนี้คนนิยมกินเจมากขึ้น แต่ที่ฮิตกันมากเพราะอะไร บางคนกินเจเพราะความเชื่อทางศาสนา บางคนกินเจเพื่อสุขภาพ แต่บางคนกินเจตามกระแส จะเห็นว่าจุดประสงค์ที่ต่างกัน สินค้าก็ไม่เหมือนกันด้วย คนที่สนใจเรื่องสุขภาพจะไม่ชอบอาหารเจที่แป้งเยอะ มันเลี่ยน เนื้อสัตว์เลียนธรรมชาติ เป็นต้น

ดังนั้น การเข้าใจความต้องการของลูกค้า ไม่เพียงตอบคำถามว่า ‘อยากได้อะไร’ แต่ต้องตอบคำถาม ‘ทำไมอยากได้’ จึงจะได้เงิน  Unmet needs กลายเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นไปอีก เมื่อเราอยู่ในยุคของ Big Data เพราะข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ มีความต้องการที่ซ่อนลึกของผู้บริโภคอยู่ในนั้น ใครหาเจอก็ได้เปรียบยิ่งขึ้น

 

 

เป็นการรู้เขาที่ต้องใช้ทักษะมองการณ์ไกลที่มีประสบการณ์พอสมควร หลายธุรกิจในปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตทั้งสื่อทีวี นิตยสาร และการค้าปลีกที่สมัยนี้ต้องปรับตัวไปสู่ดิจิตอลเน้นการทำออนไลน์มากขึ้นเพื่อให้อยู่ในกระแสที่สังคมมีความต้องการและหลายแบรนด์ก็เป็นการเปลี่ยนตัวเองเพื่อก้าวไปเป็นผู้นำในอนาคตข้างหน้าไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงแค่ตามกระแสในปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็น Amazon , Alibaba , Apple , Microsoft  แบรนด์ระดับโลกเหล่านี้พยายามเลียนรู้เรื่องอนาคตเพื่อก้าวเป็นผู้นำซึ่งการที่ใครทำได้ดีกว่าก็ย่อมเป็นผู้ถูกเลือกจากบรรดาลูกค้าที่หมายความว่ายอดขายและผลกำไรที่คาดว่าจะได้ก็จะต้องมากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

เทคนิครู้เขารู้เราที่ว่ารบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้งนั้นยังเป็นจริงเสมอแต่ในโลกของความจริงการรบร้อยครั้งเราไม่ต้องชนะทั้งร้อยครั้งขอให้ชนะมากกว่าแพ้แค่นี้ธุรกิจก็พอจะติดกำไรได้มากขึ้นแล้ว

 

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S