บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    Startups    การพัฒนาและการออกแบบ
2.3K
2 นาที
15 สิงหาคม 2560
รวม 5 ฟินเทค ที่น่าจับตามอง ฟินเทค ฟินเว่อร์!



ภาพจาก goo.gl/yxurYn 

FinTech หรือ ชื่อเต็มๆก็คือ Financial Technology อาจจะดูเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเราและมีกระแสบูมกันขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้แต่ก็เป็นธรรมเนียมไทยแท้คือฮือฮากันมาพักเดียวแต่ตอนนี้ก็ดูจะซาๆลงไปกับกระแส FinTech ในบ้านเรา แต่ก็ใช้ว่ากระแส FinTech จากทั่วโลกจะเงียบเหงาตามไปด้วย ตรงกันข้ามเรื่องนี้กลับเป็นการลงทุนที่เรียกว่า ฟินเว่อร์กันเลยทีเดียว

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ การลงทุน FinTech เมืองไทยยังช้ากว่าประเทศอื่นอยู่มากเนื่องจากการติดอยู่กับกำแพงความคิด และคนทั่วไปที่ไม่ใช่คนคิดค้นธุรกิจก็ยังไม่เข้าใจว่า FinTech นั้นดีอย่างไร ก็สะท้อนกลับไปที่การส่งเสริมจากภาครัฐที่ต้องตอบโจทย์สิ่งเหล่านี้ให้ได้เพื่อก้าวตาม กระแส FinTech ที่เติบโตไปไกลกว่าที่คิดมาก
 
www.ThaiFranchiseCenter.com ยังมองว่าทิศทางของ FinTech ไม่ใช่เรื่องไกลตัวตรงกันข้ามว่านี่คือเรื่องใกล้ตัวที่ทำให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นได้แน่ ที่ผ่านมาในเมืองไทยเองก็มีกลุ่มสตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ FinTech อยู่หลายรายแต่โดยภาพรวมก็ยังเป็นรองในตลาดโลกที่เราลองมาดูตัวเลขให้จี๊ดหัวใจกันสักนิดว่าธุรกิจนี้ในต่างประเทศเขาเอาจริงเอาจังกันแค่ไหน
 
 
ภาพจาก goo.gl/vLPeCt

เริ่มกันที่สหราชอาณาจักรจากสถิตินั้นพบว่ามีการลงทุนใน FinTech เพิ่มขึ้นกว่า 37%  ในช่วงปีนี้ที่ผ่านมา รายงานจากรอยเตอร์ส กล่าวว่ากระแส FinTech ในสหราชอาณาจักรของช่วงไตรมาส 2 ในปีนี้มีมูลค่า 5,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท  ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้วถึง 3,750 ล้านดอลลาร์ และเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

โดยเฉพาะในอังกฤษที่มีการเติบโตสายธุรกิจนี้สูงมาก โดยเป็น เอวิท เอ็กเซนจ์ บริษัทฟินเทคจากแคลิฟอร์เนีย ที่สามารถคว้าดีลการลงทุนขนาดใหญ่นี้ได้ด้วยจำนวนเงินกว่า 300 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้การเติบโตของ FinTech ในสหราชอาณาจักรนั้นสามารถเติบโตได้เป็นอันดับที่สามเป็นรองแค่สหรัฐอเมริกาและประเทศจีนเท่านั้น
 
ส่วนทางด้านฝั่งเอเชียของเรานั้นก็นำโดยซอฟแบงค์ บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่ลงทุน 1,400 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท กับบริษัทวัน ไนตี้เซเว่นซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เพย์ทีเอ็ม ฟินเทค ในอินเดีย ก็ทำให้เกิดมูลค่าในธุรกิจนี้ที่เติบโตขานรับกับเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนามาให้สอดคล้องกันได้เป็นอย่างดีด้วย
 
เมื่อจับกระแส FinTech ทั่วโลกเอามาดูภาพรวมแล้วหลายฝ่ายก็คาดการณ์กันว่าในอีก 3-5 ปีต่อจากนี้จะมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลถึง 1.5 แสนล้านดอลล่าร์ หรือ 5.3 ล้านล้านบาทไหลเข้ามาลงทุนในธุรกิจฟินเทคทั่วโลก

เรียกได้ว่าจะเป็นการเข้ามาเปลี่ยนบทบาทของธุรกิจบริการทางการเงิน (Financial Services) แบบดั้งเดิม ที่เคยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการระดมเงินทุน จัดสรรเงินทุน การชำระราคา หรือบริการทางการเงินในรูปแบบต่างๆ ด้วยโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับผู้เล่นที่หลากหลายเพียงแค่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก็สามารถเข้าสู่ฟินเทคได้จึงเห็นการลงทุนในธุรกิจนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
 
 
 
ภาพจาก goo.gl/5fjNQz

และเพื่อตอกย้ำให้เห็นตัวเลขที่สุดโต่งในเวทีนี้มากขึ้นต้องมาดูการรวบรวมข้อมูลและประเมินโดย Accenture พบว่าการลงทุนฟินเทคทั่วโลกในปี 2008 อยู่ที่ประมาณ 930 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 33.2 หมื่นล้านบาท และได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2014 กับการลงทุนฟินเทคทั่วโลกสูงถึงประมาณ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.28 แสนล้านบาท

ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันในช่วงไตรมาสที่ 2ของปี 2016 ที่มูลค่าการลงทุนใน FinTech นี้ก็ยังคงดีต่อเนื่องในอีกหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าฟินเทคเป็นเมกกะเทรนด์และทำให้โลกการเงิน การลงทุนเปลี่ยนโฉมอย่างชัดเจน
 
แน่นอนว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็ต้องย้อนกลับไปที่เรื่องเก่าว่า FinTech ในไทยหายไปไหน ทำไมไม่ตูมตามเหมือนต่างประเทศ กระแส FinTech ในบ้านเราบูมขึ้นมาเมื่อประมาณปี 2015 พร้อมกับนโยบาย Thailand 4.0 ที่สร้างความคึกคักมากในตอนนั้นก่อให้เกิด Startup ดาวรุ่งของไทยมาเป็นระลอกๆ แต่ก็อย่างที่ทราบว่ากำแพงหลักๆที่ทำให้ FinTech เมืองไทยยังไปไม่ไกลนักก็มาจากการไม่ชัดเจนในการออกกฏหมาย Digital Signature

เนื่องจากระบบศาลไทยยังไม่ยอมรับลายเซ็นดิจิทัลในการดำเนินการทางกฎหมาย หรือจะเป็นปัญหาของการออกใบอนุญาต P2P lending ในขณะที่ประเทศในแถบ AEC  เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซียได้เดินหน้าไปไกลกว่าเรา และได้ออกกฎ P2P lending ในปี 2016 ซึ่ง ณ ตอนนี้มีแพลตฟอร์มที่ดำเนินการโดยมีใบอนุญาตกว่า 10 รายแล้ว
 
อย่างไรก็ตามหากลองสืบค้นหาเหล่สตาร์ทอัพที่เป็นสาย FinTech เมืองไทยก็มีไม่น้อยเช่นกันเราลองยกตัวอย่างมาให้ดูกันสัก 5 รายต่อไปนี้
 
1. C3.finance  
 
 
ภาพจาก http://c3.finance

เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับธุรกรรมทางการเงินผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงสุด จะช่วยให้สถาบันการเงินรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องใช้ข้อมูลต่างๆได้อย่างสะดวกรวดเร็วประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น

2. Smart Contract Thailand
 
 
ภาพจาก goo.gl/Gd7HG8

เป็นระบบจัดเก็บสัญญาอัจฉริยะที่ทำให้สถาบันการเงิน ประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์ เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและลดต้นทุนค่ากระดาษ และลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการเก็บเอกสาร

3. FundRadars

 
ภาพจาก goo.gl/chpgs6

เป็นสตาร์ทอัพรุ่นแรกสาย FinTechเมืองไทยที่มีการพัฒนาเอาChatbot มาใช้ในการพูดคุยให้ผู้สนใจในการลงทุนในกองทุนต่างทำธุรกรรมเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น
 
4. PrivateChain
 
เป็นบริการให้ธุรกิจขนาดเล็กหรือบรรดาสตาร์ทอัพได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นโดยทำตัวเหมือนเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กเข้ามาระดมทุนและนักลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนกลับไปด้วย

5. ABorrow
 
 
ภาพจาก goo.gl/HBNFms

ทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับเรื่องสินเชื่อ ทำให้คนที่มองหาสินเชื่อนั้นสามารถจับคู่กับธนาคารที่มีการปล่อยสินเชื่อที่ลูกค้าต้องการได้อย่างถูกต้องผลลัพธ์คือผู้ขอสินเชื่อได้เงินตามเป้าหมายส่วนธนาคารก็ได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายในการออกสินเชื่อเช่นกัน
 
ก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่ากระแส FinTech เมืองไทยจะคึกคักได้ดีขนาดไหนแต่ในภาพรวมของธุรกิจนี้ทั่วโลกถือว่าแนวโน้มเติบโตดีเกินคาดและน่าจะเป็นอีกหนึ่งการลงทุนในยุคดิจิตอลที่มองแล้วเห็นโอกาสในการสร้างสรรค์กำไรได้ดีทีเดียว
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
610
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
512
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
431
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
414
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
412
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด