บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
4.6K
2 นาที
25 กันยายน 2560
Miniso vs Muji งานนี้ใครเจ๋งสุด!


 
 
สีสันการค้าปลีกช่วงนี้กระแสของร้านประเภทสินค้าราคาเดียวก็ดูน่าสนใจไม่น้อย  www.ThaiFranchiseCenter.com มองการเติบโตของการค้าปลีกเมืองไทยโดยเฉพาะในครึ่งปีแรกของ 2560 พบว่ามีอัตราการเติบโตที่ 2.8% ใกล้เคียงกับการเติบโตในปีที่ผ่านมา

โดยร้านประเภทสินค้าราคาเดียวถ้าเราเข้าไปตามห้างสรรพสินค้าจะพบว่ามีทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศเปิดแข่งขันกันมากขึ้นโดยเฉพาะแบรนด์ที่เราเห็นบ่อยครั้งและชินตาอย่าง Miniso และ Muji ที่คนกลางที่ไม่ฝักใฝ่แบรนด์ใดสงสัยเหลือเกินว่าสองแบรนด์นี้เหมือนหรือแตกต่างกันมากขนาดไหน
 
 ภาพจาก goo.gl/aNFVFw
 
สำหรับ Miniso เราอย่าเพิ่งไปงงว่าเป็นแบรนด์สัญชาติไหนระหว่างญี่ปุ่นหรือจีน ความจริงนี่คือแบรนด์ที่เกิดจากความร่วมมือของนักดีไซน์ญี่ปุ่นอย่าง Miyake Jyunya และนักธุรกิจจีน Ye Guo Fu

พูดง่ายๆก็คือก่อตั้งในญี่ปุ่นเมื่อกันยายน 2013 แต่มีผู้ร่วมก่อตั้งที่เป็นชาวจีน ก็เลยตอบคำถามนี้ได้ว่าแบรนด์ที่ดูเหมือนมาจากญี่ปุ่นแต่ทำไมมีสาขาในญี่ปุ่นแค่ 4 สาขาแต่กลับมีสาขาในจีนเกินกว่า 1,110 สาขา ก็เพราะโอกาสขยายตัวในตลาดจีนมีมากกว่ารวมถึงประเทศอื่นๆก็มีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าในญี่ปุ่น
 
 ภาพจาก www.miniso.com

จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็น Miniso ในหลายประเทศเช่น ฮ่องกง 25 แห่ง , มาเก๊า 4 แห่ง ยังไม่รวมกับสาขาที่กำลังจะเปิดในดูไบ เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลีใต้ อเมริกา และอิตาลี เพราะแผนการตลาดของ Miniso นั้นบอกเลยว่าภายใน 5 ปี ต้องการที่จะมี 6,000 สาขาทั่วโลก พร้อมตั้งเป้ามีรายได้ของตัวเองใน 5 ปีว่าต้องแตะที่ 9,000 ล้านดอลลาร์
 
และดูเหมือนว่าแผนการตลาดของ Miniso ก็เข้าที่เข้าทางอยู่ไม่น้อยและห่างจากที่ตั้งใจอีกไม่เท่าไหร่เพราะในปีที่ผ่านมานี้ Miniso มีรายได้แตะที่ 2,000 ล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย โดย Miniso ในเมืองไทยนั้นเป็นการซื้อลิขสิทธิ์ของ บริษัท ชิ่งไท่ เทรดดิ้ง จำกัด ที่แต่เดิมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนำเข้าส่งออกแต่ขอแตกไลน์มาบริหารธุรกิจแฟรนไชส์ประเดิมกับ Miniso เป็นแบรนด์แรกของบริษัท
 

ภาพจาก www.miniso.com
 
Miniso นั้นมีจุดแข็งตรงที่เป็นสินค้าแบบ Fast Fashion มีการเปลี่ยนตลอดเฉลี่ยแล้ว 100 รายการ/เดือน เพราะบริษัทแม่มีทีมดีไซน์มากกว่า 30 คน เรื่องนี้เลยได้เปรียบมาก และราคาสินค้าของ Miniso นั้นไม่ใช่ราคาเดียวกันทั้งร้านแต่เริ่มที่ 39 บาทไปจนถึง 699 บาทแต่ราคากลางๆอย่าง 69 นั้นยอดขายดีที่สุด และความหลากหลายของสินค้าที่มากกว่า 2,500 รายการก็ดึงดูดใจนักช็อปได้อย่างดีทีเดียว
 

ภาพจาก www.miniso.com
 
เฉลี่ยคนเข้าร้าน Miniso ทั้ง 24 สาขาในประเทศไทยนั้นประมาณ 200-300 คน/สาขา ยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 400-500/บิลถ้าดูจากการเติบโตแบบแฟรนไชส์ที่ไปไกลถึง 56 ประเทศทั่วโลกกับสาขากว่า 1,400 แห่งก็ดูจะกินขาดคู่แข่งรายเล็กๆได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
 

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand
 
แต่คู่แข่งในตลาดค้าปลีกอย่าง MUJI หรือชื่อเต็มๆคือ มูจิรุชิ เรียวฮิน (Mujirushi Ryohin) ที่ถือว่าเก๋าในวงการนี้เพราะก่อตั้งมานานกว่า 37 ปี สาขาทั่วโลกตอนนี้ 855 แห่ง อยู่ในญี่ปุ่น 420 สาขา เจ้าของแบรนด์ก็คือ บริษัท เรียวฮินเคคาขุ จำกัดที่มี ซาโตรุ มัทสึซากิ เป็นประธานกรรมการผู้จัดการ MUJI นี้เข้ามาตลาดเมืองไทยเกือบ 10 ปีก่อนและได้พันธมิตรอย่างเครือเซ็นทรัลที่ช่วยทำให้การตลาดของแบรนด์ MUJI ในประเทศไทยเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งตอนนี้มีสาขาในประเทศไทยรวม 15 แห่ง ตรงนี้ถือว่าสูสีกับ Miniso 
 

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand
 
แต่ถ้านับเรื่องการตลาดถือว่าแข็งแกร่งแบบลึกๆเพราะบริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัดวางแผนการพัฒนาแบรนด์ไปไกลถึงปี 2020 ที่มีแผนปรับพื้นที่ร้านค้าให้มากขึ้น

รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสินค้าที่ Miniso เองก็มีความถนัดทำให้ MUJI ก็ต้องทุ่มการตลาดเข้าสู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน และความท้าทายอีกอย่างของ MUJI คือการปรับราคาสินค้าในเมืองไทยให้เท่ากับที่ญี่ปุ่นซึ่งตอนนี้เขายอมรับเลยว่าสินค้าเมืองไทยนั้นราคาสูงกว่าในญี่ปุ่น 10-20% เนื่องจากเรื่องภาษีนำเข้าเป็นหลัก
 

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand
 
ถ้าดูงบเรื่องการพัฒนาแบรนด์ของ MUJI ก็นับว่าน่ากลัวแทนคู่แข่งเหมือนกันบริษัทแม่ตั้งเป้าใช้เงินกว่า 10,000 ล้านเยนเพื่อขยายสาขา พัฒนาสินค้าและพัฒนาระบบไอที การตั้งเป้าของ MUJI ยังรวมเรื่องการขยายสาขาที่ในญี่ปุ่นตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่ม 15-20 สาขา/ปี

สำหรับในประเทศไทยก็วางแผนไว้ 1-2 สาขา/ปี และพร้อมกันนี้ต้องมีการเติบโต 10% ต่อเนื่องทุกปีไปจนถึงปี 2020 รายได้ของ MUJI ในปีที่ผ่านมานั้นอยู่ที่ 332,500 ล้านเยน กับสินค้าขายดีจากทุกสาขาทั่วโลกนั้นคือกลุ่มเครื่องเขียน สุขภาพความงาม และเฟอร์นิเจอร์
 

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand
 
สำหรับเรื่องการลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์นั้นทางทีมงานได้ติดต่อสอบถามไปยังทางแอดมินเพจเฟสบุ๊คของ MUJI ได้คำตอบว่าในขณะนี้ยังไม่ได้เปิดขายระบบแฟรนไชส์การลงทุนที่เกิดขึ้นเป็นการลงทุนของทางบริษัทเองล้วนๆ ส่วนของ Miniso เองสาขาที่เปิดคือการลงทุนของบริษัทเองแต่ Miniso ก็มีนโยบายและแผนการณ์ตลาดเรื่องการขายแฟรนไชส์เช่นกัน

แต่ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการคนที่สนใจธุรกิจของ Miniso สามารถส่งรายละเอียดสถานที่จะเปิด, จังหวัด, ชื่อ เบอร์โทรติดต่อกลับ ไปที่ E-mail: minisoth.franchise@gmail.com หากทาง Miniso ดำเนินการพร้อมเมื่อใดก็จะแจ้งความเคลื่อนไหวกลับไปยังผู้ที่ติดต่อเข้ามาอีกที
 
ดังนั้นเมื่อเทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์แล้วถือว่าทั้งสองค่ายเป็นสินค้าราคาเดียวในเกรดพรีเมี่ยมที่ต่างก็ใช้เรื่องนวัตกรรมเข้ามาทำการตลาดและมีแผนขยายสาขาในรูปแบบของตัวเอง 

แต่ด้วยความเก่าแก่ของ MUJI ที่มากกว่าจึงดูน่าเกรงขามแต่ Miniso ก็เป็นคลื่นลูกหลังที่ใช้ดีไซน์สินค้าเข้าแย่งส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างดี สงครามช้างชนช้างแบบนี้ในฐานะลูกค้าธรรมดาก็รอเก็บตกโปรโมชั่นและแพคเกจอีกมากมายที่เชื่อว่าน่าจะงัดมาสู้กัน โดยเฉพาะปีหน้าที่คาดว่าเศรษฐกิจเมืองไทยจะดีกว่านี้
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
426
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
411
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด