บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    Startups    การพัฒนาและการออกแบบ
2.0K
2 นาที
28 สิงหาคม 2561
8 เทคนิคเลือก Co-founder สำหรับธุรกิจ Startup
 
 
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า อุตสาหกรรมไอทีมีการเติบโตสูง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดคนที่มีไอเดีย และความฝันที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง ได้ออกมาตั้งบริษัท Startup เพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง
 
แต่การเริ่มต้นทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยข้อจำกัดเรื่องเงินทุน บางทีเราไม่สามารถจ้างคนเก่งมาช่วยทำงานได้เหมือนบริษัทใหญ่ ที่มีเงินจ้างพนักงานเงินเดือนสูงๆ ได้ จึงจำเป็นต้องหาคนมาร่วมฝัน เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจของเรา
 
วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com มีเคล็ดลับและวิธีการเลือก Co-founder ที่เหมาะสม เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท มาฝากให้ผู้กำลังเริ่มต้นธุรกิจ Startup นำเอาไปเป็นแนวทางหาร่วมก่อตั้งบริษัทครับ 
 
1.มีวิสัยทัศน์ที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน 
 

Co-founder จะต้องมีความเข้าใจในตัวธุรกิจพอๆ กัน และมองเห็นอนาคตของกิจการเหมือนกัน เพราะถ้าเข้าใจเหมือนกัน ก็จะมีความอินในธุรกิจ ซึ่งความอินจะนำมาสู่ความทุ่มเทและการอุทิศตัวเองเพื่อกิจการ
 
2. มองเป้าหมายของธุรกิจเหมือนๆ กัน 
 

ไม่ใช่ทุกคนคาดหวัง อยากสร้างกิจการเป็นอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่โต ซึ่งต้องการความทุ่มเทและการเสียสละสูง บางคนก็อยากมีกิจการที่มีขนาดพอเหมาะกับกำลังของตัวเอง อาจจะทำเพื่อความสนุก สามารถทำงานแบบชิลล์ๆ สบายๆ ได้ 
 
ไม่ซีเรียสกับมันมากนัก ถ้า Co-founder มองเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน ระดับความทุ่มเทและการอุทิศตัวเอง เพื่อกิจการก็จะต่างกัน และมีโอกาสที่จะนำไปสู่การแยกทางกันในที่สุด
 
3. การอุทิศตัวเองเพื่อกิจการ 
 

Co-founder ทุกคน ควรจะมี Commitment อยู่ในระดับเดียวกัน มีความทุ่มเทเพื่อกิจการ พอๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สืบเนื่องต่อมาจากข้อ 1 กับข้อ 2 รวมกับ ภาระหน้าที่ในชีวิตที่มีอยู่ของแต่ละคน
 
ถ้า Co-founder คนหนึ่ง มองกิจการสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด พร้อมจะทุ่มเทชีวิตเพื่อกิจการนี้ ในขณะที่ Co-founder อีกคนมีครอบครัว มีภาระที่ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัว ต้องการชีวิตแบบ Work Life Balance อาจทำให้เกิดปัญหาในการทำงานได้ หรือถ้าคนหนึ่ง ต้องการสร้างมูลค่าของกิจการให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แล้วขายทิ้งใน 1-3 ปี 
 
ขณะที่อีกคน ต้องการสร้างกิจการที่สร้างรายได้ยั่งยืน อยู่ได้ด้วยตัวเองไปอีกสิบๆ ปี ก็อาจทำให้มีการอุทิศตัวเองในระดับที่แตกต่างกันได้ ถ้าทุกคนมีระดับความทุ่มเทและการอุทิศตัวเอง เพื่อกิจการที่แตกต่างกัน อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง และจะเกิดอารมณ์ประมาณว่าเราทำเต็มที่ แต่คนอื่นทำไมไม่เต็มที่เหมือนที่เราทำ และนำไปสู่การแยกทางกันได้เช่นกัน
 
4. มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน 
 

Co-founder แต่ละคน ควรมีทักษะความสามารถที่ส่งเสริมเติมเต็มกัน เพื่อช่วยเหลือกิจการในสิ่งที่ขาด เช่น เมื่อกิจการมีคนที่เก่งเรื่องการสร้าง Product ก็ควรต้องมีคนที่ทำการตลาดและการขายอยู่ด้วย ถึงจะเป็นทีมที่ลงตัว เหมาะกับการก่อร่างสร้างตัวของกิจการ
 
5. สไตล์การทำงานของแต่ละคน 
 

Co-founder บางคนมีสไตล์การทำงานที่ชอบลงรายละเอียด ลงมาบริหารจัดการด้วยตัวเองทุกเรื่อง ในขณะที่บางคนอาจไม่ใส่ใจในรายละเอียดเลย แต่สามารถมองภาพกว้าง มีความคิดทางธุรกิจกว้างไกลและเฉียบคม ซึ่งธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ จะต้องมีคนทั้งสองแบบอยู่ในทีมผู้ร่วมก่อตั้ง
 
6. Co-founder เหมือนเลือกคู่ชีวิต 
 

Co-founder เป็นทีมผู้สร้างธุรกิจที่ต้องทำงานด้วยกันไปอีกนาน เหมือนเลือกคู่ชีวิตหรือแฟน ที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปนานๆ ตั้งแต่สร้างเนื้อสร้างตัวจนถึงการมีรากฐานที่มั่นคงแน่นอน เวลาจะเลือกใครมาร่วมสร้างกิจการกับเรา อย่าได้ใจร้อน ให้ค่อยๆ พิจารณา ดูนิสัยใจคอไปด้วยว่าเข้ากันได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพราะเมื่อตกลงร่วมลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับการแต่งงานกัน จะเลิกกันก็ยุ่งยากและสร้างความลำบากใจให้แก่กัน
 
7. อย่าเลือก Co-founder เพราะมีเงิน
 

ธุรกิจต้องขับเคลื่อนด้วยคนทำงาน และคนทำงานเท่านั้นที่คู่ควรมีอำนาจตัดสินใจในการบริหารกิจการ ถ้าให้อำนาจการบริหารกิจการกับคนให้เงินมากเกินไป เราอาจจะต้องยอมเขาด้วยเหตุผลว่าเขาให้เงิน ไปจนถึงการมีบุญคุณต่อกัน ทำให้กิจการอาจจะไม่เติบโตไปในแนวทางที่ทีมผู้ก่อตั้งต้องการ และอาจจะเจ๊งในที่สุด ควรจำกัดหน้าที่ของคนให้เงินทุน ให้มีเพียงการกำกับการใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังเท่านั้น เพราะการใช้เงินให้เป็น เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากกับกิจการ Startup
 
8. Startup ต้องไม่พึ่งพาใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ 
 

ปัญหาอาจจะเกิดขึ้นภายในทีมผู้ก่อตั้งได้ตลอดเวลา ไม่ควรให้อำนาจใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป เพราะถ้ามีปัญหากับคนคนนั้น ธุรกิจอาจมีปัญหาถึงขั้นล้มได้ เพื่อป้องกันกิจการโดยรวมไม่ให้มีปัญหาสะดุดในการบริหาร เริ่มต้นไม่ควรแบ่งหุ้นให้ Co-founder เยอะตั้งแต่แรก แต่ใช้วิธีเพิ่มสัดส่วนหุ้นให้เมื่ออยู่นานขึ้น เช่น ปีแรกให้ 5% ปีต่อไปค่อยเพิ่มเป็น 10% และถ้าอยู่ทำงานเกิน 4 ปีขึ้นไป ก็ค่อยเพิ่มเป็น 20% ไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสม
 
ทั้งหมดเป็น 8 วิธีในการเลือก Co-founder มาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจ Startup โดยหัวใจสำคัญต้องเลือกผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจที่มองธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าคนหนึ่งเห็นด้วย อีกคนไม่เห็นด้วย ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงคนที่ไม่มองธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน เพราะจะเกิดความขัดแย้งตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจ และต้องมองผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจเป็นเหมือนคู่ชีวิต รู้จักแบ่งหน้าที่กันทำงาน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งธงเอาไว้
 
อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://www.thaifranchisecenter.com/home.php
เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เริ่มต้นธุรกิจ https://www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php
 

SMEs Tips
  1. มีวิสัยทัศน์ที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน 
  2. มองเป้าหมายของธุรกิจเหมือนๆ กัน 
  3. การอุทิศตัวเองเพื่อกิจการ 
  4. มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน 
  5. สไตล์การทำงานของแต่ละคน 
  6. Co-founder เหมือนเลือกคู่ชีวิต 
  7. อย่าเลือก Co-founder เพราะมีเงิน
  8. Startup ต้องไม่พึ่งพาใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ 
ภาพจาก https://pixabay.com/th/

บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
10 อาชีพหลังเกษียณ ทำแก้เหงา แถมได้เงิน
793
แฉ! จริงมั๊ย ผู้ผลิตจน พ่อค้าคนกลางรวย
710
ยุคนี้ อยากรวยยาว! เซ็ทธุรกิจตัวเองให้เป็น Desti..
641
20 ไอเดียธุรกิจใหญ่ ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีหุ้นส่วน
522
เศรษฐกิจไม่ฟื้น! ไตรมาส 2 ไม่แพ้ไตรมาสแรก 14 ธุร..
441
10 เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล
421
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด