บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    บัญชี ภาษี
2.0K
2 นาที
3 มกราคม 2562
พ.ร.บ. เก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์ เรากำลังเดินหน้าหรือถอยหลัง?
 
จาก พ.ร.บ. เก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในประเทศไทย ที่มีความเคลื่อนไหวในบัญชีการเงินโดย เมื่อมีเงินฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปีต่อธนาคาร (เห็นง่าย ๆ ก็คือวันละประมาณ 8 ครั้งในทุกวัน) หรือมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีต่อธนาคารและมียอดรวม 2 ล้านบาทขึ้นไป

ซึ่งความเคลื่อนไหวทางการเงินทั้งในสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เอ็มเปย์ ไลน์เปย์ ทรูมันนี่ และผู้ให้บริการชำระเงินอื่น ๆ ที่ขึ้นทะเบียนกับทางภาครัฐต้องรายงานความเคลื่อนไหวทางการเงินให้กับสรรพากร เพื่อที่สรรพากรจะนำไปคัดเลือกบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีไม่ถูกต้อง ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าทุกคนควรเสียภาษีให้ถูกต้อง
 
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้อยากจะบอกว่ากฎหมายตัวนี้ผ่าน สนช.แล้วครับในขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ และน่าจะมีการบังคับใช้ในปีหน้า แต่ผมไม่ทราบว่าการบังคับใช้จะเป็นอย่างไร แต่มีประเด็นที่น่าสนใจก็คือ
เมื่อมีการบังคับใช้แล้ว ผมยังไม่เห็นว่าจะมีธนาคารใดของไทยที่พอจะมีความสามารถรองรับเกี่ยวกับการทำธุรกรรมหรือการรายงานธุรกรรมแบบนี้ได้  ธนาคารยังไม่ได้มีการทำระบบนี้ขึ้นมาเพื่อเอาไว้รายงานสรรพากร 

ภาพจาก goo.gl/Pz6y7c
 
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้ให้บริการอีเพย์เม้นต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เอ็มเปย์ ไลน์เปย์ ทรูมันนี่ หรือแม้แต่บริษัทอีเพย์เม้นต์เกตเวย์ของผมเองคือ PaySolution และเท่าที่ได้คุยกับบรรดาสมาคมอีเพย์เม้นต์หลาย ๆ คนยังไม่มีระบบนี้ในการที่จะรายงานข้อมูลเหล่านี้ไปยังสรรพากร 
 
ฉะนั้นในการนำมาปฏิบัติหรือนำมาใช้ ผมคิดว่าน่าจะมีช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะมีการปฏิบัติใช้จริง เพราะบรรดาธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินดิจิทัลยังไม่มีความพร้อมในการรายงานเรื่องนี้กลับไป
 
คำถามคือเราควรทำอย่างไรต่อไป ซึ่งประเด็นที่ผมอยากแชร์ต่อไปนี้ไม่ใช่การชี้ช่องทางให้ทุกคนหลบเลี่ยงในการที่สรรพากรจะมาตรวจสอบใด ๆ แต่ต่อไปนี้ในมุมมองของผมอาจเป็นสิ่งที่จะเกิดต่อไปได้คือคนบางกลุ่มอาจจะอยากเปิดเป็นบริษัทอย่างถูกต้อง และอีกกลุ่มก็อาจจะอยากหลบเลี่ยง ซึ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้อาจเป็นการหลบเลี่ยงโดยนำเงินออกสู่นอกระบบเพื่อที่สรรพากรจะไม่อาจตรวจสอบได้
 
บางคนอาจบอกว่าให้ไปใช้ PayPal แต่ตอนนี้ PayPal เองก็ได้เข้ามาจดทะเบียนภายใต้การกำกับของแบงก์ชาติแล้ว ฉะนั้นโอกาสที่ PayPal จะต้องถูกรายงานก็มีด้วยเหมือนกัน แม้แต่ผู้ให้บริการ e-Payment ทั้งหลายในประเทศไทยที่อยู่ภายใต้กฎหมายและการกำกับของแบงก์ชาติ ก็ต้องถูกตรวจสอบเช่นกัน 

ภาพจาก goo.gl/fhABwm
 
จากการวิเคราะห์ของผมถ้าหากจะมองในแง่ร้ายสักหน่อยหากมีใครคิดจะมีการหลบเลี่ยงจะทำอย่างไรได้บ้าง ผมไม่ได้ต้องการจะชี้ทางแต่อย่างใดครับเพียงแค่วิเคราะห์ว่าสิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้
 
จากจำนวนธนาคารในประเทศไทย 22 ธนาคาร หากผมต้องการจะหลบเลี่ยงจริง ๆ ผมจะเปิดบัญชีธนาคารทั้ง 22 ธนาคารเลย เพราะการเปิดบัญชีธนาคารนั้นสิ่งที่จะทำให้ทราบว่ามีบัญชีอยู่ก็คือเลขที่บัตรประชาชน ดังนั้นสมมติว่าคุณเปิดบัญชีธนาคาร 5 บัญชีในธนาคารเดียวกัน ธนาคารจะทราบทันทีว่าคุณมีกี่บัญชี และจะเอาทั้งหมดมานับรวมกันแล้วรายงานสรรพากรซึ่งหากเกินเกณฑ์ดังกล่าวก็จะถูกตรวจสอบ 
 
แต่ (จากความเข้าใจของผม) หากคุณมีบัญชีในธนาคาร a และมีในธนาคาร b เขาจะมองแยกกันเพราะข้อมูลของทั้งสองธนาคารอยู่คนละแหล่งกัน และผมคิดว่าสรรพากรยังไม่สามารถเอาข้อมูลของธนาคาร a และธนาคาร b เอามารวมเข้าด้วยกันได้

ดังนั้นหากตัวเลขในธนาคาร a ไม่เกินและในธนาคาร b ก็ไม่เกิน คุณก็ไม่น่าจะถูกรายงาน การเปิดบัญชีกับทั้ง 22 ธนาคารและแต่ละธนาคารสามารถโอนเงินเข้าไปได้สูงสุด 2 ล้านบาท ทำให้ผมสามารถรับเงินได้สูงสุดประมาณ 44 ล้านบาท ทำให้สามารถบริหารได้ กระจายการโอนเงินได้เพื่อไม่ให้เกิน 2 ล้านบาทภายใน 400 ครั้ง หรือเกิน 3,000 ครั้ง 

ภาพจาก goo.gl/3FBxoX
 
2. อาจมีการหันไปใช้ Cryptocurrency หรือโอนเงินผ่าน Cryptocurrency แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยความผันผวนของสกุลเงินดิจิทัล และจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกกฎหมายเพื่อควบคุมคือเมื่อมีการนำเงินเข้าไป exchange ตัวกลางในการรับแลกเปลี่ยนเงินในสกุลดิจิทัลต้องมีการรายงานกับทางภาครัฐ

ดังนั้นเมื่อคุณนำเงินเข้าไปแลกเปลี่ยนในสกุลเงินดิจิทัลก็ต้องมีการรายงาน แม้ในช่วงการแลกเปลี่ยนระหว่างกันนั้นภาครัฐจะไม่ได้ดูจะดูเฉพาะตอนที่เงินเข้าและออกหรือตอนที่เปลี่ยนจากเงินไทยบาทไปเป็นดิจิทัลเท่านั้น วิธีนี้อาจเป็นวิธีที่หลบเลี่ยงได้แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์
 
ดีก็จริงแต่อาจผิดเวลา
 
ภาพจาก goo.gl/HDnzKs

เรื่องนี้จะเกิดผลกระทบทันทีกับร้านค้าต่าง ๆ และผู้ที่ใช้ พร้อมเพย์ และ QR Code ทั้ง ๆ ที่ธนาคารเองก็กระตุ้นร้านค้าต่าง ๆ หันมาใช้ให้มากขึ้นด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอนลงทำให้คนหันมานิยมใช้มากขึ้น

แต่เมื่อกฎหมายตัวนี้ออกมายิ่งมีการโอนเงินเข้ามามากเท่าไหร่เจ้าของร้านก็จะยิ่งซวยครับ แค่มีคนสแกน QR Code วันละ 8 คนตลอดทั้งปีก็อาจเกิน 3,000 ครั้งแล้ว ร้านค้าก็จะโดนเรียกประเมิน ยิ่งมีการใช้  QR Code หรือพร้อมเพย์ มากเท่าไหร่กลายเป็นทำให้เกิดโอกาสที่จะถูกสรรพากรเรียกประเมินได้มากเท่านั้น 
 
ตรงนี้เองที่อาจทำให้หลาย ๆ คนเลิกใช้พร้อมเพย์ หรือ QR Code ซึ่งค่อนข้างจะย้อนแย้งหรือขัดกับนโยบายภาครัฐโดยเฉพาะแบงก์ชาติที่ออกมากระตุ้นให้คนไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) จะทำให้มีการหาทางออกคือ คนไทยจะใช้เงินสดกันมากขึ้น เพราะจะไม่เกิดร่องรอย transaction หรือไม่เกิดรายการทางบัญชี

ภาพจาก goo.gl/USFS58

อัตราการเติบโตของ Mobile Banking ก็จะลดลงเพราะคนจะกลัว เงินสดจะกลายเป็นสกุลเงินที่คนรู้สึกว่าปลอดภัยมากกว่าการใช้เงินดิจิทัลหรือการโอนเงินผ่าน e-Payment หรือ Mobile Banking ต่าง ๆ ตรงนี้เป็นจุดที่ผมกังวลมากว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค e-Money หรือ e-Payment แต่กฎหมายตัวนี้จะทำให้ประเทศไทยเดินถอยหลัง 
 
อย่างที่บอกตอนต้นว่าผมเห็นด้วยกับกฎหมายตัวนี้ แต่ยังไม่ควรออกมาในช่วงเวลานี้ ในช่วงเวลาที่ e-Payment พร้อมเพย์ QR Code กำลังเติบโต หรือช่วงคนไทยกำลังนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ไม่ควรมีกฎหมายต่าง ๆ ไปทำให้เกิดความเกรงกลัวที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ เราควรจะปล่อยให้การใช้ e-Money หรือ e-Payment ต่าง ๆ โตขึ้นไปอีกสัก 2 ปี ให้ประเทศไทยได้เข้าสู่จุดที่คนส่วนใหญ่ของประเทศมาใช้ QR Code หรือใช้แอปพลิเคชันในการจ่ายเงิน เมื่อถึงจุดนั้นรัฐบาลค่อยมาออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการตรวจสอบเหล่านี้ดีกว่า 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
650
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
599
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
540
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
496
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
491
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
458
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด