บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
4.1K
3 นาที
15 ตุลาคม 2562
บทสรุป เนื้อหาการบรรยายของ Prof. Philip Kotler ในงาน World Marketing Summit Asia 2019  

เก็บมาจากห้อง Line เห็นว่ามันน่าสนใจพอดีไม่มี ไม่รู้ใครเขียนจึงมิได้ให้เครดิต แต่ก็ขออนุญาต​นำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่อ่านเรื่องราวของบทสรุป เนื้อหาการบรรยายของ Prof. Philip Kotler ในงาน World Marketing Summit Asia 2019  ที่จัดขึ้นที่โรงแรม Kempinski กทม. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ศกนี้ที่ผ่านมา
 
โดยมีหัวข้อที่บรรยาย คือ อนาคตของการตลาด (Future of Marketing) ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป    

ภาพจาก bit.ly/320d1OR
 
โลกในปัจจุบันให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและประเด็นทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อม มากยิ่งขึ้น และสิ่งที่หลายๆ คนไม่อยากจะเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปัญหาความอดอยาก หิวโหย  การเข้าถึงการศึกษาสำหรับเยาวชนที่ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในประเทศที่ด้อยหรือกำลังพัฒนาเท่านั้น 
 
แต่ในประเทศที่มีความเจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา Philip Kotler ก็มองว่าการจัดการศึกษายังทำได้ไม่ดีเพราะการเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีนั้น ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ขณะที่หลายๆ ประเทศทำได้ดีมากขึ้น
 
ยกตัวอย่าง ประเทศ​ ฟินแลนด์ ที่การศึกษานั้นเป็นสวัสดิการที่รัฐจัดให้ฟรีสำหรับประชาชนแม้แต่กระทั่งในระดับปริญญาตรี 
 
เป้าหมายทั้ง 17 เป้าหมายของการพัฒนา ฃที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เป็นความท้าทายของโลกทั้งโลก 
 
ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจและองค์กรภาครัฐจะต้องปรับตัว Philip Kotler พูดชัดเจนว่า ธุรกิจจะต้องปรับเปลี่ยนจากการมุ่งแสวงหากำไร ( profit oriented ) ไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ของประชากร ( ซึ่งก็คือลูกค้า) อย่างยั่งยืน 
 
ภาพจาก  bit.ly/320d1OR
 
เพราะถ้าประชาชนยากจนลงเรื่อยๆ และมีช่องว่างทางสังคมเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ธุรกิจก็คงอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายของภาคธุรกิจเป็นอย่างมากที่จะต้องดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง 3 Ps 
คือ People, Planet และ  Profit  
 
โดยที่ธุรกิจยังต้องคำนึงถึงการทำกำไรอยู่ แต่กระบวนการที่จะได้มาซึ่งรายได้นั้น ลูกค้าจะเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นว่า วิธีการได้มาซึ่ง สินค้า และหรือบริการนั้น ได้คำนีงถึง คน (people) และ โลก (planet) หรือไม่  และในส่วนของการทำกำไรนั้นก็ไม่ได้มุ่งที่จะตอบโจทย์เฉพาะผู้ถือหุ้น (shareholders) เท่านั้น แต่จะต้องคำนึงถึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (stakeholders) 
 
เพราะถ้าปราศจากผู้บริโภคแล้ว ธุรกิจก็ไม่มี ความหมายอะไรเลย (no consumer, no jobs)
 
ในส่วนของผู้บริโภคหรือลูกค้าเอง Philip Kotler กล่าวถึงกลุ่มที่เป็น Millennial Generation ว่าคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับแบรนด์เป็นอย่างมาก 
 
แต่จะดูลึกไปถึงจิตวิญญาณของบริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์นั้นๆ(soul of a company) ว่ามีความห่วงใยและจริงจังกับเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาที่ยั่งยืนแค่ไหน  
 
ดังนั้นการที่บริษัทหรือองค์กรทำเพียงการบริจาคเงิน หรือ กิจกรรม CSR แต่การดำเนินธุรกิจยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน และยังคงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่งคั่งให้แต่เฉพาะธุรกิจตนเองโดยไม่ดูแลช่วยเหลือให้ คน และ โลก (People and Planet) ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
 
หรือจะยิ่งแย่ลงในอนาคต การทำเพียงแค่การบริจาคเงิน และ CSR ก็จะไม่มีความหมายหรือสร้างความรู้สึกที่ประทับใจต่อลูกค้ากลุ่มนี้ 
 
ในทางกลับกันอาจจะเกิดผลสะท้อนกลับในทางลบด้วยซ้ำ (ผมสรุปเองว่า เป็นเรื่องของ ปากว่าตาขยิบ) จากนั้น Philip Kotler ก็เริ่มลงลึกถึงตัวผู้บริโภคที่จะมีความเฉพาะตัวมากขึ้น ทำให้เรื่องของ Market Segmentation แบบเดิมๆนั้นไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป 

ภาพจาก bit.ly/2BeYEup
 
แต่นักการตลาดหรือการทำการตลาดจะต้องเข้าถึงแต่ละตัวบุคคลมากขึ้น และการรวบรวมข้อมูลของบุคคลแต่ละบุคคลเป็นจำนวนมากๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดีย จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก 
 
Philip Kotlerทกล่าวว่าแต่ละพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นมีความหมายในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมด้านดีหรือไม่ดีก็ตาม เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่พึงทำได้(หากไม่ผิดกฎหมายหรือ กระทบสิทธิของผู้อื่นในสังคม)  สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลัง สังเกตุว่านักเศรษฐศาสตร์เริ่มใช้คำว่า Behavioral Economics (เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภค) 
 
แต่สำหรับนักการตลาดอย่าง Philip Kotler แล้ว เรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นสิ่งที่นักการตลาดสนใจและใช้เพื่อการทำการตลาดมาก่อนหน้านานแล้ว (ฟังดูคล้ายๆว่าท่านแซวนักเศรษฐศาสตร์นะครับว่าเพิ่งจะมาสนใจเรื่องนี้หรือ) แต่ต้องบอกว่า Philip Kotler ย้ำนะครับ ว่าการตลาดที่เขาพูดถึงไม่ใช่แค่เรื่องของการพยายามขายสินค้าให้ได้มากๆ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าและบริษัทหรือองค์กร ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
 
Philip Kotler ยกตัวอย่างเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคกับการตลาดว่า เรื่องการสูบบุหรี่เป็นสิทธิส่วนบุคคล แม้ทุกคนจะรู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพก็ตาม แต่เราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามพฤติกรรมมิให้ใครสูบบุหรี่ได้ 
 
แต่นักการตลาดหรือองค์กรอาจจะมีแคมเปญที่จะช่วยลดหรือเตือนเยาวชนให้ตระหนักถึงโทษและอันตรายของการสูบบุหรี่แทนการห้ามสูบบุหรี่ เป็นต้น การสร้างแบรนด์ในปัจจุบันก็ไม่ได้ทำเฉพาะกับสินค้า หรือบริการของภาคเอกชนเท่านั้น แม้แต่ประเทศเองก็ต้องคิดถึงการสร้างภาพลักษณ์และแบรนด์ของประเทศเองด้วยเช่นกัน 
 
หมู่บ้านเล็กๆ แต่ละหมู่บ้านก็ต้องคิดว่าตนเองมีจุดเด่นอะไร และมีคุณค่าอะไร ไม่ใช่แค่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักโดยไม่ทำเรื่องของ Value proposition และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจน โดยต้องไม่ลืมเรื่องของจิตวิญญาณหรือตัวตนของตนเอง (หมู่บ้าน ชุมชน เมือง ประเทศ) 
 
สิ่งหนึ่งที่ Philip Kotler พูดแล้ว จับใจมากๆ เพราะฟังอยู่เพลินๆ แล้วถึงกับชะงักชั่วขณะ ก็คือการที่ธุรกิจจะต้องอาศัยทั้งการเข้าถึงผู้บริโภคหรือตลาดแบบเชิงลึก (insight) และการคาดการณ์ไปข้างหน้า (foresight) 
 
ในการที่จะเข้าใจตลาดในอนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร  เหตุผลส่วนตัวที่ผมตื่นเต้นกับประเด็นนี้ก็เพราะว่า ผู้บริหารมักจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ foresight  เท่ากับ insight อาจจะเพราะยังไม่เข้าใจว่า foresight คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร การที่ Philip Kotler พูดเรื่องนี้แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ผมก็คิดว่ามีนัยยะและความหมายที่ให้เรามาคิดต่อได้อีกมากมายครับ สุดท้าย Philip Kotler ย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องของ 3Ps นั่นก็คือ People, Planet แล้วถึงค่อยมาเป็น Profit....
 
 
ภาพจาก bit.ly/2BeYEup
 
ขอขอบพระคุณทางผู้บริหาร TMA และผู้จัดงาน World Marketing Summit Asia 2019 เป็นอย่างมากครับที่ให้เกียรติผมเข้าร่วมประชุมตลอดทั้งวัน จริงๆ มีอีกหลาย session ที่ดีมากๆ เอาไว้ถ้ามีเวลาจะเล่าสู่กันฟังนะครับ 
 
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารของ Fuji (Thailand) ที่เล่าเรื่องการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจฟิลม์ถ่ายภาพและกล้องถ่ายรูปที่ประสบวิกฤติการณ์ทางธุรกิจ แต่สามารถผ่านมาได้เพราะอะไร 
 
รวมถึงแบรนด์ของไทยคือ ดอยคำ และ ดอยตุง ที่เล่าเรื่องของ sustainability development กับการทำธุรกิจได้อย่างน่าประทับใจที่สุดเช่นกัน!
 
 
อ.อ๊อด น้ำดี เรียบเรียง
สถาบันพัฒนา​ธุรก​ิ​จน้ำดื่มฯ
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
631
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
548
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
495
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
464
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
446
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
441
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด