ภาพจาก bit.ly/32xBrQf

ผู้จัดการทีมมีชื่อหลายคนอดีตเคยเป็นนักเตะที่ย้ายสโมสรหลายแห่ง ก่อนที่จะมาประสบความสำเร็จกับบทบาทโค้ช แต่สำหรับอากิระ นิชิโนะ เขาเคยค้าแข้งกับสโมสรเดียวเท่านั้นคือ คาชิว่า เรย์โซลโดย นิชิโนะ เล่นในตำแหน่ง กองกลาง พร้อมกับถูกบันทึกว่าเป็นนักเตะที่เล่นให้กับสโมสรดังในจังหวัดชิบะเพียงทีมเดียว ตลอดชีวิตค้าแข้งเป็นเวลา 12 ปีเต็ม ด้วยผลงาน ลงสนาม 143 นัด และยิงได้ทั้งหมด 29 ประตู

 

ภาพจาก legendsstadium.com

หลังเลิกชีวิตค้าแข้งในวัย 35 ปี อากิระ นิชิโนะ ก็ทำงานสายโค้ชทันที โดยทำหน้าที่เป็นกุนซือของทีมดังหลายแห่งเช่น คาชิว่า เรย์โซล, กัมบะ โอซาก้า, วิสเซล โกเบ, นาโกย่า แกรมปัส เอต รวมถึงทีมชาติญี่ปุ่นรุ่น ยู-20 และ ยู-23 ชุดลุย โอลิมปิก 1996 รวมถึงทัพชุดใหญ่ที่เขาเข้ามารับงานแทน วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช ที่พาทีมเข้ารอบสุดท้าย เวิลด์ คัพ ฉบับหมีขาว โดย นิชิโนะ คุมทั้งหมด 7 เกม สามารถพาทีมชนะทีมชาติโคลอมเบีย 2-1 และทะลุถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนปราชัยต่อ เบลเยี่ยม 2-3 ทั้งๆ ที่นำก่อน 2-0 จนตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

 

ภาพจาก nikkansports.com

นิชิโนะถูกจดจำในฐานะ ผู้สร้าง “ปาฏิหาริย์ ที่ไมอามี่”โดยย้อนกลับไปในปี 1996 อากิระ นิชิโนะ คุมทีมชาติญี่ปุ่นลงเล่นในโอลิมปิกเกมส์ ที่แอตแลนต้า ซึ่งทีมชาติญี่ปุ่น ได้กลับมาแข่งขันเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี แม้ว่า ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ร่วมสายกับ ไนจีเรีย, บราซิล และ ฮังการี ซึ่งตอนนั้นญี่ปุ่นกำลังจะตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่ อากิระ นิชิโนะ ก็สามารถสร้าง ปาฏิหาริย์ ด้วยการนำลูกทีมเอาชนะ ทีมชาติบราซิล ที่มีสุดยอดนักเตะอย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส และ ริวัลโด้ ได้อย่างเหลือเชื่อด้วยสกอร์ 1-0 สื่อมวลชนในญี่ปุ่นต่างขนานนามชัยชนะในนัดดังกล่าวว่าเป็น “ปาฏิหาริย์ที่ไมอามี่” ตามชื่อของสถานที่แข่งขัน

 

ภาพจาก sport360.com

ในวัย 64 ปี อากิระ นิชิโนะ การันตีความสำเร็จในการทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นชนิดที่หาได้ยากที่จะหาโค้ชชาวญี่ปุ่นทำได้แบบนี้เขาเคยคุมทีมดังประจำศึกเจลีกกับต้นสังกัดสมัยค้าแข้งอย่าง คาชิวา เรย์โซล ปี 1998, กัมบะ โอซาก้า ปี 2002, วิสเซล โกเบ ปี 2012 และ นาโกยา แกรมปัส เอต ปี 2014 โดยเฉพาะในปี 2008 กัมบะ โอซาก้า ภายใต้การนำทัพของ อะกิระ นิชิโนะ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกของสโมสร และทำให้ นิชิโนะ กลายเป็นกุนซือชาวญี่ปุ่นคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้ นอกจากนี้ ยังเคยสัมผัสถ้วยจักรพรรดิสองสมัยในปี 2008 และ 2009, แชมป์เจลีกในปี 2005 และแชมป์เจลีกคัพสองครั้งในปี 1999 และ 2007

 

ภาพจาก bit.ly/32Ah3xU

“โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุลครั้งหนึ่งเคยได้เล่นในระดับเจลีกกับ 2 ทีมแห่งเมืองโอซาก้า คือ กัมบะ โอซาก้า และ เซเรโซ โอซาก้า (ยันมาร์ ดีเซล) หลังจากแขวนสตั๊ด โค้ชเฮงก็เริ่มต้นบทบาทโค้ชในญี่ปุ่นกับ กัมบะโอซาก้าและพาทีมคว้าแชมป์เอ็มเพอเรอร์คัพในปี 1990 และแชมป์ควีนส์คัพในปี 1992 ในสมัยที่ทำงานกับกัมบะ โอซาก้า “โค้ชเฮง” ได้มีโอกาสร่วมงานกับ อากิระ นิชิโนะด้วย

6.ผู้จัดการทีมชาติญี่ปุ่นคนแรกของประเทศไทย

ภาพจาก fathailand.org

นิชิโนะเป็นกุนซือต่างชาติคนที่ 14 แต่เป็นคนแรกที่เป็นชาวญี่ปุ่น โดยก่อนหน้านี้ทีมชาติไทยเคยใช้บริการกุนซือต่างชาติมาแล้ว 13 คนคือ กุนเธอร์ กลอมป์ (เยอรมัน), เพเทอร์ ชนิทเกอร์ (เยอรมัน), แวร์เนอร์ บิคเคลเฮาพท์ (เยอรมัน), บัวร์กฮาร์ด ซีเซอ (เยอรมัน), คาร์ลอส โรแบร์โต คาร์วัลโญ (บราซิล ), ปีเตอร์ สตัปป์ (เยอรมัน  ), เดทท์มาร์ คราเมอร์ (เยอรมัน), ปีเตอร์ วิธ (อังกฤษ), ซิกกี้ เฮลด์ (เยอรมัน ), ปีเตอร์ รีด (อังกฤษ), ไบรอัน ร็อบสัน (อังกฤษ), วินฟรีด เชเฟอร์ (เยอรมัน) และ มิโลวาน ราเยวัช (เซอร์เบีย)

 

ภาพจาก news-postseven.com

ในปี 1994 อากิระ นิชิโนะ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งเป็นโอกาสให้เขาได้นำ ทีมชาติญี่ปุ่น พบกับ ทีมชาติไทย ชุดดรีมทีมที่ประกอบไปยอดนักเตะไทยอย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ดุสิต เฉลิมแสน, ธชตวัน ศรีปาน ในศึกฟุตบอลปรี โอลิมปิกเกมส์ 1995 รอบคัดเลือก ลงเล่นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนถูกทีมชาติญี่ปุ่น U23 ที่คุมทัพโดย อากิระ นิชิโนะ บุกมาถล่มถึง 5 ประตู 

 

ภาพจาก FOX Sports Thailand

นอกจากรับงานคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่โดยมีเป้าหมายพาทีมชาติไทยไปลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2022 นิชิโนะยังทำหน้าที่คุมทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ชุดลุยศึกซีเกมส์ 2019 และฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้ายด้วยโดยการทำหน้าที่คุมทีมทั้งสองชุดนั้นเป็นความต้องการของ อากิระ นิชิโนะ มาตั้งแต่แรก เพื่อต้องการให้ทีมชาติทั้งสองชุดเกิดความต่อเนื่อง และควบคุมคอนเซปต์การทำทีมในทิศทางเดียวกัน

 

ภาพจาก matichon.co.th

รายละเอียดเบื้องต้นคาดว่าค่าเหนื่อยที่นิชิโนะจะได้รับในการรับงานคุมทีมชาติไทยทั้งชุดใหญ่และเยาวชนจะมีรายได้ปีละประมาณ 20 กว่าล้านบาท ถึงกระนั้นก็ยังเป็นรายได้ที่น้อยกว่าสมัยคุมทีมชาติญี่ปุ่นที่นิชิโนะรับอยู่ปีละประมาณ 30 ล้านบาท แต่เหนือกว่าเรื่องรายได้นิชิโนะคงอยากจะแสดงผลงานและทำให้ชาวโลกเห็นว่าฟุตบอลไทยแท้จริงแล้วสามารถไปลุยฟุตบอลโลกได้ถือเป็นงานท้าทายอย่างมาก

 

ภาพจาก thairath.co.th

นิชิโนะได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ ปลุกจิตวิญญาณ นักฟุตบอล ให้เข้าใจว่า นักเตะควรเล่นบอล ด้วย “ความรัก”  รักที่จะเล่นฟุตบอล สนุกกับการเล่นฟุตบอล ที่สำคัญอย่าลืมกระหายในชัยชนะ และต้องเล่นอย่างมีเป้าหมาย ต้องพยายามเดินไปหาเป้าหมายไม่ใช่รอให้ความสำเร็จวิ่งเข้าหา นอกจากนี้นิชิโนะยังเลือกผู้ช่วยที่เป็นคนไทย เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดความรู้ในการคุมทีม ศาสตร์ฟุตบอลที่ตัวเองมี อันเป็นการสร้างรากฐานวงการฟุตบอลไทยให้แข็งแรงอย่างมีระบบ

 

แม้สุดท้ายเราจะยังไม่ทราบบทสรุปว่า “นิชิโนะ” กับทีมชาติไทย จะทำผลงานดีต่อเนื่องไปได้แค่ไหน แต่สิ่งที่นิชิโนะทำ ณ ปัจจุบันถือว่าเดินมาถูกทางกับการปูพื้นฐานฟุตบอลไทยให้แข็งแกร่งตั้งแต่ระดับเยาวชนไปจนถึงทีมชาติชุดใหญ่ ด้วยสไตล์ทำงานแบบญี่ปุ่นที่จริงจัง เป็นระเบียบ เอาใจใส่ทุกรายละเอียดของงานที่ทำ ถือเป็นสิ่งที่คนไทยยังขาดตกบกพร่องในเรื่องเหล่านี้มาก และนักฟุตบอลไทย โค้ชไทยควรเรียนรู้การทำงานของนิชิโนะเอาไว้ให้มากที่สุด