บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    บัญชี ภาษี
2.5K
3 นาที
22 ตุลาคม 2562
10 เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! ภาษีความเค็ม


มีภาษีความหวานไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงภาษีความเค็มกันบ้าง นี่คือเรื่องร้อนในสังคมที่คนพูดถึงกันมาก หลังจากที่กรรมสรรพสามิต มีแนวคิดเก็บ “ภาษีความเค็ม” ทันทีที่มีข่าวนี้ก็เกิดกระแสทั้งในแง่วิจารณ์ บ้างก็สนับสนุนว่าเป็นแนวคิดที่ดี www.ThaiFranchiseCenter.com เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจความเป็นมาของเรื่องนี้อย่างแท้จริงเราจึงจัด10เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! ภาษีความเค็มมาฝากกัน
 
1. นโยบายกึ่งสุขภาพที่ภาครัฐเตรียมจัดให้
 
ทันทีที่มีข่าวนี้กระแสวิจารณ์ตามมามากมาย บ้างก็ว่าเป็นมาตรการหาเงินของรัฐบาล บางก็ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจบางแห่ง แต่อย่างไรก็ดีในมุมของภาครัฐมองว่าภาษีความเค็มแม้จะเป็นภาษีตัวใหม่ที่เตรียมจะมีขึ้นแต่เป้าหมายไม่ใช่เรื่องรายได้แต่นี่คือ “นโยบายกึ่งสุขภาพ” ที่ภาครัฐอยากจะส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น และการจัดเก็บภาษีความเค็มไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นแต่เป็นการกำหนดให้ผู้ประกอบการลดการใช้โซเดียมให้น้อยลงกว่าเดิม
 
2. สถิติชี้ชัดคนไทย “กินเค็ม”เกินมาตรฐาน


ภาพจาก bit.ly/2W1Ttre
 
ปัจจุบันไทยใช้เกณฑ์ใน 1 วัน ไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,400 มิลลิกรัม (มก.) ต่อวัน ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่าโซเดียมไม่เกิน 2,000 มก.ต่อวัน ซึ่งถ้าอิงตาม WHO ใน 1 วัน ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 600 มก. ต่อมื้อ แต่ปัจจุบันคนไทยได้รับค่าโซเดียมเกินกว่า ที่ WHO กำหนด โดยได้รับโซเดียมถึงมื้อละ 1,000 โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) ระบุว่า แค่ลดปริมาณโซเดียมในอาหารลง 20-30% ก็ลดปริมาณความเสี่ยงจากการเป็นโรค เช่น ไตวาย ความดัน ได้ถึง 30-40%”
 
3. 3 โรคอันตรายจากการทานเค็ม
 
ตามสถิติโรคในกลุ่ม NCDs ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด ซึ่ง โรคกลุ่ม NCDs หมายถึงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งจะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ค่อยๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง
 
โดยที่เกี่ยวกับการทานเค็มมากเกินมีถึง 3 โรคคือ โรคหัวใจขาดเลือด , โรคหลอดเลือดสมอง  และ โรคไตเรื้อรัง ซึ่งคนไทยมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ต่อปี และพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเป็น 1,500,000 คน ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการบริโภคอาหารรสเค็ม ดังนั้นหากสามารถทำให้คนไทยลดการบริโภคเค็มลงก็จะลดความสูญเสียได้
 
4. ภาษีความเค็มช่วยลดงบประมาณด้านสุขภาพได้


ภาพจาก bit.ly/2P8Y75j
 
ผลพวงที่ต่อเนื่องกันหากจัดเก็บภาษีความเค็มจะทำให้คนไทยบริโภคเค็มน้อยลง ซึ่งจากข้อมูลระบุว่ารัฐบาลต้องสูญเสียเงินงบประมาณในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อค่าใช้จ่ายล้างไต และฟอกเลือด ให้แก่ผู้ป่วยโรคไตประมาณ 200,000 บาทต่อคนต่อปี โดยมีผู้ป่วยโรคไตที่ทำการฟอกไตทั่วประเทศประมาณ 90,000 คน รวมเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และหากเป็นโรคหัวใจร่วมด้วย จะเสียค่ายาความดันโลหิตอีกปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
 
นอกจากนี้ คนไทยยังเจ็บป่วยเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ร้อยละ 15 ต่อปี ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกปีละ 1-2 พันล้านบาทต่อปี การจัดเก็บภาษีความเค็มจะช่วยลดงบประมาณด้านสุขภาพส่วนนี้และนำไปพัฒนาสุขภาพด้านอื่นได้มากขึ้น
 
5. โซเดียมที่ใช้ในอุตสากรรมมี 2 ประเภท


ภาพจาก bit.ly/2BJKWjz
 
โซเดียมที่นิยมใช้ปัจจุบันมี 2 ประเภท คือ โซเดียมที่ใช้ยืดระยะเวลาอาหารและสินค้า เช่น การถนอมอาหาร เป็นต้น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของปริมาณโซเดียมที่ใช้ในปัจจุบัน และโซเดียมที่ใช้ปรุงรสชาติ 80% ของปริมาณโซเดียมที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจัดเก็บภาษีที่ใช้ปรุงรสชาติที่ทำให้เกิดความเค็มเท่านั้น เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องใส่ลงในอาหารหรือสินค้าก็ได้ ส่วนการถนอมอาหารจะไม่มีการเก็บภาษี เพราะ ใช้โซเดียมปริมาณน้อย
 
6. สินค้าใดบ้างจะโดนภาษีความเค็ม


ภาพจาก bit.ly/2p2xKDv
 
เบื้องต้นกำหนดเก็บภาษีความเค็มจากปริมาณโซเดียม (เกลือ) ที่ใช้ปรุงรสชาติ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยเฉพาะรสเผ็ด ขนมขบเคี้ยว ผงปรุงรส เป็นต้น ส่วนน้ำปลา ซีอิ๊วจะไม่ถูกจัดเก็บภาษี เพราะถือเป็นเครื่องปรุงรส สำหรับธุรกิจชุมชนที่มีการใช้ความเค็มเพื่อการถนอมอาหาร เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม ปลาจ่อม กะปิ น้ำบูดู เหล่านี้ถือว่า "ไม่เข้าข่าย" ที่จะต้องเสียภาษีความเค็ม รวมถึงสินค้ากลุ่มเครื่องปรุง เช่น น้ำปลา เกลือ ซีอิ๊วขาว และร้านค้าข้าวแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ก็จะไม่เสียภาษีด้วย
 
7. ขอความร่วมมือ สตรีทฟู้ด ในการลด “ปริมาณความเค็ม”


ภาพจาก bit.ly/32CFc6U
 
การจัดเก็บภาษีความเค็มจะไม่กระทบผู้ค้ารายย่อย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือบรรดาอาหารสตรีทฟู้ดที่มีจำนวนมากและเป็นร้านอาหารที่คนไทยโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้บริการร้านเหล่านี้อย่างน้อย 1 มื้อต่อวัน แม้จะไม่โดนภาษีความเค็มแต่ภาครัฐก็ขอความร่วมมือให้ปรุงอาหารเค็มน้อย และขอให้มีฉลากเตือนข้างบรรจุภัณฑ์อย่างน้ำปลาหรือซีอิ้ว ถึงอันตรายจากการบริโภคเค็มมากเกินไป คล้ายกับฉลากบุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย
 
8. ต่างประเทศก็มีการเก็บ “ภาษีความเค็ม”


ภาพจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
 
ในต่างประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และมีการกำหนดข้อตกลงต่างๆ ซึ่งนอกจากมาตรการทางภาษีแล้วยังมีมาตรการอื่น ๆ ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ มีกฎหมายกำหนด "ฉลากแบบ สัญญาณไฟจราจร" ใช้กับส่วนผสม 4 ชนิด คือ น้ำตาล ไขมัน ไขมันอิ่มตัวและเกลือ แบ่งเป็น "สีเขียว" คือมีปริมาณน้อย "สีเหลือง (หรือส้ม)" คือมีปานกลาง และ "สีแดง" คือมีปริมาณมาก ให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจน เป็นต้น
 
9. ตัวอย่างดีๆของการเก็บภาษีความเค็มในต่างประเทศ


ภาพจาก bit.ly/2MYQM5E
 
ยกตัวอย่างในฮังการี เริ่มเก็บภาษีความเค็มในสินค้าประเภท "ขนมขบเคี้ยว-เครื่องปรุงรส" มาตั้งแต่ปี 2554 พบว่า ประชาชนลดปริมาณการบริโภคลง ร้อยละ 20-35 ส่งผลให้ในเวลาต่อมาบรรดาผู้ผลิตต้องปรับสูตรอาหารให้ลดปริมาณโซเดียมลงด้วยเพราะไม่ต้องการจ่ายภาษีดังกล่าว หรือแม้แต่ ประเทศในยุโรปอย่าง โปรตุเกส ก็เริ่มใช้มาตรการนี้ในปี 2561 โดยรัฐบาลโปรตุเกสเริ่มร่างแผนจัดเก็บภาษีจากอาหารและขนมที่มีปริมาณโซเดียมสูง เช่น เวเฟอร์ บิสกิต อาหารที่มีซีเรียลเป็นส่วนประกอบ รวมถึงมันฝรั่งแห้งหรือทอดด้วย
 
10. อัตราการเก็บภาษีความเค็ม “ชัดเจนปลายปี 2562” 


ภาพจาก bit.ly/33QBRkF
 
กรมสรรพสามิต ระบุว่า อัตราการเก็บภาษีความเค็มยังอยู่ระหว่างการเร่งศึกษาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ในการขยายฐานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าความเค็ม เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในการบริโภคสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ โดยจะมีการเก็บภาษีตามสัดส่วนของความเค็ม หรือปริมาณโซเดียม หากเค็มมากก็จะเสียภาษีในอัตราสูง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเสนอการคลังให้พิจารณาได้ภายในสิ้นปี2562 นี้และภายหลังที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ จะมีระยะเวลา 1-2 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัว
 
ถ้ามองเรื่องนี้ 2 มุมด้านหนึ่งก็คือเหตุผลด้านสุขภาพที่ดูน่าเชื่อถือว่าคนไทยทานเค็มกันมากเกินไปทำให้เกิดโรคต่างๆ การมีภาษีความเค็มจึงเป็นเรื่องดีที่จะทำให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น ในขณะที่ความเห็นอีกด้านมองว่าการเก็บภาษีความเค็มจะไปทำให้สินค้าอย่างขนมกรุบกรอบ ปลากระป๋อง ที่เป็นอาหารง่ายๆของคนรายได้น้อยมีราคาสูงขึ้น มองมุมนี้เหมือนเป็นการผลักภาระมาให้ประชาชน แต่ไม่ว่าจะเลือกมองมุมไหนสิ่งสำคัญคือการทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส ตรงไปตรงมา ถ้าทำเพื่อสุขภาพคนไทยจริง ต้องการให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นจริง เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ bit.ly/2E885O9
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
426
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด