บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
288
4 นาที
5 สิงหาคม 2568
สงครามเย็น จักรวาลชานมไข่มุก ใครจะอยู่ใครจะไป 
 

ปัจจุบันชานมไข่มุก ไม่ใช่เครื่องดื่มที่เป็นเทรนด์หรือกระแสชั่วคราวเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “วัฒนธรรมการดื่ม” อย่างเต็มตัว 
 
ในช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นวิวัฒนาการจากร้านเล็กๆ ข้างถนนสู่ธุรกิจแฟรนไชส์หลากหลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ กระโดดเข้ามาสมรภูมิชานมไข่มุก แข่งขันกันดุเดือดในทุกมิติ ทั้งราคา คุณภาพ ประสบการณ์ และกลุ่มเป้าหมาย เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่ากว่า 749 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26,400 ล้านบาท
 
สมรภูมิชานมไข่มุกในตลาดเมืองไทย ใครจะอยู่ใครจะไป 
 
จุดเริ่มต้น...ชานมไข่มุก
 

ชานมไข่มุกนั้น มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไต้หวัน ชานมไข่มุก หรือที่ไต้หวันเรียกกันว่า Boba Tea นั้น จริงๆ แล้ว เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญล้วนๆ โดยแต่เดิมแล้วคนไต้หวันชอบทานขนมเฟิ่นเหยียน Fen Yuan (เหมือนขนมโมจิญี่ปุ่นในปัจจุบัน) ขนมเฟิ่นเหยียน Fen Yuan ซึ่งทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง ก็จะคล้ายๆ กับตัวไข่มุก แต่จะไม่หนึบเหมือนไข่มุกที่ใส่ชานม
 
อย่างไรก็ตาม ก่อนปี 1980 ชาวไต้หวันยังไม่นิยมดื่มชาเย็น เพราะคนไต้หวันสมัยก่อนจะดื่มแต่ชาร้อน ที่มีวัฒนธรรมมาจากชาวจีนที่อพยพเข้ามาไต้หวัน แต่มีชาวไต้หวันคนหนึ่งได้ไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในปีนั้น และเห็นคนญี่ปุ่นกินกาแฟใส่น้ำแข็ง จึงเกิดไอเดีย และกลับมาเป็นร้านชาเย็นที่ไต้หวันดูบ้าง สรุปว่าขายดีมากทีเดียว แต่ชาเย็นไต้หวันในตอนนั้นยังไม่ใส่ไข่มุก
 
แต่จริงๆ แล้ว ชานมไข่มุกเกิดขึ้นในปี 1988 โดยชาวไต้หวันคนหนึ่ง ชื่อ Ms. Lin Hsiu Hui กำลังประชุมกับทีมงานในร้านเกี่ยวกับการรคิดค้นสูตรชาใหม่ๆ มาขาย เนื่องจากคนเริ่มเบื่อชาสูตรเก่าๆ กันแล้ว ในตอนนั้นเธอกำลังกินขนมหวานที่เรียกว่าเฟิ่นเหยียน Fen Yuan พอดี 
 
ด้วยความนึกอยากสนุก เขาก็เลยเทเฟิ่นเหยียน Fen Yuan ที่กำลังกินอยู่ ลงไปในชานมเย็นที่วางอยู่ในห้องประชุม พอลองชิมรู้สึกว่าอร่อยดี จึงนำเสนอให้ทีมงานลองชิมดูบ้าง ทำให้ได้สูตรใหม่ออกมาเป็น “ชานมไข่มุก” 
 
จากสูตรชาที่ทำแบบเล่นๆ แต่ได้รสชาติอร่อย หลังจากนั้นได้นำไปขายในร้าน Chun Shui Tang Teahouse เมืองไถจง ไต้หวัน กลายเป็นเครื่องดื่มชานมไข่มุกที่ทำยอดขายถล่มทลาย แซงหน้าทุกเมนูที่เคยมีมาในร้านแห่งนี้ กลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็วทั่วไต้หวัน ก่อนที่จะขยายตลาดไปประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จนกระทั่งเข้ามาในประเทศไทยเมื่อราวๆ ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน 
 
จุดเริ่มต้นชานมในไทย
 

ชานมไข่มุกเริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยในช่วงปลายปี 1990 – 2000 โดยแบรนด์ชานมไข่มุกจากไต้หวันเป็นผู้เข้ามาเปิดตลาดในช่วงแรกๆ ในยุคนั้น “ชานมไข่มุก” เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มและมีราคาค่อนข้างสูง ต่อมามีจุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงปี 2010 เป็นต้นมา ที่เกิดการระเบิดขึ้นมาของร้านแฟรนไชส์ชานมไข่มุกรายย่อยในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มราคาถูก 30–50 บาท
 
มูลค่าตลาดชานมไข่มุกในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 749 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 26,400 ล้านบาทต่อปี อยู่ในอันดับ 2 ของตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย
 
การเติบโตของตลาดชานมไข่มุกในไทยมาจากปัจจัยคนไทยดื่มชานมไข่มุกเฉลี่ยสูงสุดในภูมิภาค รวมถึงความหลากหลายของแบรนด์ชานมไข่มุก ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มี “เมนูชานมไข่มุก” หลากหลายที่สุด
 
ปัจจุบันมีร้านชานมไข่มุกในประเทศไทยประมาณ 31,000 แห่ง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักในตลาด
 
1.กลุ่ม Mass Market ราคา 50 บาทลงมา
 

เช่น ชาพะยอม, ชาโบบา, Kamu, Mixue, Wedrink, Bing Chun เป็นต้น 
  • จับกลุ่มเป้าหมาย นักเรียน,นักศึกษา คนทำงาน
  • ใช้กลยุทธ์ ขายราคาถูก เข้าถึงง่าย ครอบคลุมพื้นที่ เช่น ปากซอย หน้าโรงเรียน
2.กลุ่ม Mid-tier ราคา 50–100 บาท
 

เช่น KOI Thé, Kamu, Dakasi, The Alley, ชาตรามือ ฯลฯ
  • จับกลุ่มเป้าหมาย วัยรุ่น คนในเมือง คนทำงานออฟฟิศ
  • ใช้กลยุทธ์ สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ผ่านคุณภาพ และการออกเมนูใหม่อย่างสม่ำเสมอ
3.กลุ่ม Premium ราคา 100 บาทขึ้นไป
 

เช่น HEYTEA, Brown Café, Fire Tiger, Chagee, CHA i ENJOY, Naixue, KOI Thé ฯลฯ 
  • จับกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าที่เน้น “ประสบการณ์ในการดื่ม”
  • ใช้กลยุทธ์ดีไซน์ การตกแต่งร้าน Storytelling, เมนูแบบ craft และวัตถุดิบเกรดพรีเมียม
แบรนด์ชานมไข่มุกชื่อดังในประเทศไทย มีเจ้าไหนบ้าง
 
#แบรนด์ชานมสัญชาติไทย

  • NOBI CHA
  • OWL CHA
  • ชาพะยอม
  • Ochaya (โอชายะ)
  • Pearly Tea
  • ชาตรามือ (ChaTraMue)
  • Fresh Me
  • KAMU KAMU
  • ชาไทย Fighting
  • ชาเจริญ
  • Mr.Shake
  • Fuku Matcha
  • ยอดชา
  • ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน
  • Brown Café
  • Tawang
  • CHA BAR BKK
  • BEARHOUSE
  • GAGA
  • Karun
  • JIAN CHA
  • Chongdee Teahouse
  • Nose Tea
  • Khiri Thai Tea
#แบรนด์ชานมสัญชาติจีน

  • WEDRINK
  • MIXUE
  • Bing Chun
  • SHUYI
  • CHAPANDA
  • Taning
  • CHAGEE
  • CHA i ENJOY
  • Naixue
  • Molly Tea 
#แบรนด์ชานมสัญชาติไต้หวัน

  • CoCo
  • TP TEA
  • Dakasi
  • KOI Thé
  • Yi Fang
  • Machi Machi
  • The Alley
  • XING FU TANG
  • CHICHA San Chen 
Timeline คลื่นของชานมไข่มุกในตลาดเมืองไทย

คลื่นลูกที่ 1 ปี 2010-2015
จุดเด่น/เอกลักษณ์
  • แฟรนไชส์จากไต้หวัน/ญี่ปุ่น
  • เริ่มสร้างมาตรฐานใหม่
  • ราคาเฉลี่ย 40-60 บาท
ตัวอย่าง

  • Chatime ไต้หวัน
  • CoCo ไต้หวัน
  • Gong Cha ไต้หวัน
  • Dakasi ไต้หวัน
  • FuKu Matcha ญี่ปุ่น
  • Ochaya ไทย 
คลื่นลูกที่ 2 ปี 2016-2019
 
จุดเด่น/เอกลักษณ์
  • โมเดลคาเฟ่
  • เมนูซิเนเจอร์ บราวน์ซูการ์ไข่มุก
  • โฟกัสภาพลักษณ์ และประสบการณ์ 
  • ราคาเฉลี่ย 80-120 บาท 
ตัวอย่าง

  • The Alley ไต้หวัน
  • Fire Tiger ไทย
  • Brown Cafe' ไทย
  • Kamu Kamu ไทย
  • Tiger Sugar ไต้หวัน
  • Xing Fu Tang ไทย
  • AMT Tea Bar ไทย
  • Bearhouse ไทย
คลื่นลูกที่ 3 ปี 2020-ปัจจุบัน

จุดเด่น/เอกลักษณ์
  • แนวคาเฟ่ / Artisanal Tea Bar
  • รสชาติ วัตถุดิบพรีเมียม
  • เน้นดีไซน์ คาแรคเตอร์ชงสด
  • บริการเดลิเวรี - ออนไลน์
  • ราคาเฉลี่ย 100-120+ บาท
ตัวอย่าง

  • Peace Oriental Teahouse ไทย
  • Nose Tea ไทย
  • Naixue (NaiSnow) จีน
  • Molly Tea จีน
  • Jian Cha ไทย
  • Chagee จีน
  • GAGA ไทย
  • Kurun ไทย
  • Khiri Thai Tea ไทย
  • Chapanda จีน
  • Cha i Enjoy จีน
  • Taning จีน
ตลาดชานมไข่มุกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใครใหญ่ที่สุด ปี 2022 มูลค่ารวมตลาดชานมไข่มุกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ประมาณ 3.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า Bubble Tea คือ "Mega Trend" ที่ฝังรากลึกในภูมิภาคนี้ 
 

อันดับมูลค่าตลาดในแต่ละประเทศอาเซียน ปี 2021-2022
  1. อินโดนีเซีย มูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 58,000 ล้านบาท
  2. ไทย มูลค่า 749 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 26,400 ล้านบาท
  3. เวียดนาม มูลค่า 362 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 12,800 ล้านบาท
  4. สิงคโปร์ มูลค่า 342 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 12,000 ล้านบาท
  5. มาเลเซีย มูลค่า 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 11,600 ล้านบาท
  6. ฟิลิปปินส์ มูลค่า280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 9,800 ล้านบาท
พฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศอาเซียน ดื่มชานมมากแค่ไหน 

1.ประเทศไทย

  • มีร้านชานมไข่มุกประมาณ 31,000 แห่ง
  • คนไทยมีอัตราบริโภคชานมไข่มุกเฉลี่ยต่อหัวสูงที่สุดในอาเซียน
  • นิยมดื่มชาหลังทานอาหารที่มีรสชาติเผ็ด และนิยมเครื่องดื่มเย็น
2.อินโดนีเซีย
  • ตลาดชานมไข่มุกใหญ่ที่สุด
  • ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ คือ วัยรุ่นอายุ 15-39 ปี คิดเป็นสัดส่วน 41%
  • การสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี เติบโตสูงมากหลังการระบาดโควิด-19
3.มาเลเซีย
  • ความนิยมชานมไข่มุกในประเทศถึงขั้นมีถนนชื่อ “Bubble Tea Street” ที่ Subang Jaya
  • กลุ่มเป้าหมายมีวัยรุ่นเป็นกลุ่มหลัก และเป็นกลุ่มประชากรที่มีมากที่สุดในอาเซียน
4.สิงคโปร์  

  • ประเทศที่มีค่าเฉลี่ยต่อการซื้อสูงที่สุดในอาเซียน (ราคาแพง) 
  • ขายชานมไข่มุก 1 แก้ว ประมาณ 3.9 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 2 ดอลลาร์สหรัฐในประเทศอื่น
  • เลือกแบรนด์พรีเมียม เช่น HEYTEA
  • นิยมหวานน้อย และใส่ใจสุขภาพ
5.เวียดนาม
  • วัฒนธรรมการดื่มกาแฟเข้มข้น แต่ในช่วงหลักชานมไข่มุกได้รับความนิยมขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • ส่วนใหญ่เกิดจากการนำเข้าแบรนด์จากต่างประเทศ
6.ฟิลิปปินส์
  • ชาวฟิลิปปินส์ชอบชานมไข่มุกที่มีรสชาติหวาน
  • มีแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Serenitea ช่วยสร้างกระแสและทำให้ชานมไข่มุกเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดี
ตลาดชานมในประเทศไทย 2-3 ปีข้างหน้า ใครจะอยู่ใครจะไป
 


แนวโน้มตลาดชานมไข่มุกในประเทศไทย มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากเครื่องดื่มที่เป็น “กระแส” จะพัฒนาไปสู่ “การทำตลาดแบบจริงจัง” โดยตลาดชานมไข่มุกในไทยยังมีการเติบโตได้ในกลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน แต่ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะอยู่รอดในไทย 
 
ชาผลไม้ (Fruit Tea / Fresh Tea) กำลังกลายเป็น New Growth Segment แทนชานมไข่มุกแบบดั้งเดิม
 
คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญในเรื่องอะไรบ้าง ถ้าหากจะซื้อชานมไข่มุกสักแก้ว 
  • น้ำตาลต่ำ / No Sugar
  • วัตถุดิบธรรมชาติ (เช่น ผลไม้สด ชาแท้)
  • ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพมากกว่าราคา
ร้านที่มีต้นทุนต่ำแต่ราคาแพง จะถูกกลุ่มลูกค้าระดับกลาง และล่างตีตัวออกห่างไป 
 
แนวโน้มการแข่งขันในตลาดชานมจะรุนแรง ทั้งแบรนด์ใหม่จากจีน ไต้หวัน ไทย แข่งขันกันทั้งรสชาติ บรรจุภัณฑ์ และ Storytelling
 
 
แบรนด์ที่ “น่าจะอยู่” และมีโอกาสเติบโตต่อได้ในประเทศไทย
  • แบรนด์พรีเมียม มี Story ชัดเจน และสร้างแตกต่างด้วยคุณภาพ
  • แบรนด์ท้องถิ่นไทยที่สามารถยกระดับความเป็นพรีเมียม และปรับตัวได้ทัน
แบรนด์ที่ "น่าจะหายไป" หรือจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว
1.แบรนด์ที่เน้นแค่ “ราคาถูก” โดยไม่เน้นคุณภาพ 
 
เช่น บางแฟรนไชส์ราคาถูก ขายราคาต่ำกว่า 30 บาท/แก้ว ที่สำคัญใช้วัตถุดิบคุณภาพต่ำ มาตรฐานไม่สม่ำเสมอ แต่ถ้าแบรนด์ไหนที่อยู่ได้ก็อยู่ได้ในบางพื้นที่เท่านั้น เช่น ชานเมือง, ต่างจังหวัด แต่ถูกลดบทบาทในเมืองใหญ่
 
2.แบรนด์ที่ไม่มีจุดขายชัดเจน
 
หากไม่มีเอกลักษณ์และความแต่ต่างด้านรสชาติ บรรจุภัณฑ์ หรือ Story แบรนด์นั้นอาจจะถูกกลืนโดยแบรนด์พรีเมียมและแบรนด์จีนที่เข้ามาอย่างกับพายุมีความโดดเด่นในเรื่องชาพรีเมียมชัดเจน  
 
สุดท้าย “สงครามชานม” ไม่ได้วัดกันที่ราคาหรือความหวาน แต่วัดกันที่ว่า ใครเข้าใจผู้บริโภคก่อน ใครสร้างประสบการณ์ได้ก่อน แบรนด์นั้นนั้นก็อยู่รอดและในจักรวาลชานมไข่มุกนี้ แบรนด์ที่อยู่ตรงกลาง ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน จะเป็นกลุ่มที่หายไปจากตลาดเร็วที่สุด
 
อ้างอิง 
 
https://citly.me/x53qo
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
604
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
491
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
470
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
413
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
403
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
397
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด