บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
282
4 นาที
8 สิงหาคม 2568
In-N-Out ราชินีฟาสต์ฟู้ดอเมริกา ไม่ขายแฟรนไชส์ แต่ขยาย 400 สาขาทั่วโลก
 

In-N-Out Burger เป็นหนึ่งในแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดระดับตำนานของอเมริกา เป็นผู้จุดกระแสร้าน "drive-thru burger” มีเอกลักษณ์โดดเด่น คือ “ไม่ขายแฟรนไชส์” และ “ไม่ขยายสาขาแบบรวดเร็ว” แม้จะมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดเหมือนแบรนด์อื่นๆ แต่ In-N-Out เลือกเส้นทางที่แตกต่าง ใช้วัตถุดิบสดใหม่ ควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด และสร้างวัฒนธรรมองค์กรต่อเนื่อง 
 
จุดเริ่มต้นของ In-N-Out Burger
 

ภาพจาก https://www.in-n-out.com

In-N-Out Burger ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 22 ต.ค. 1948 โดยแฮร์รีย์ สไนเดอร์ (Harry Snyder) และ เอสเธอร์ สไนเดอร์ (Esther Snyder) สองสามีภรรยาในเมืองบอลด์วินพาร์ก (Baldwin Park), รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
 
ด้วยแนวคิดง่ายๆ แต่แหวกแนวในยุคนั้น คือ ให้ลูกค้าสั่งอาหารโดยไม่ต้องลงจากรถ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "drive-thru burger stand" แห่งแรกของแคลิฟอร์เนีย โดยใช้ลำโพงและไมโครโฟน เพื่อให้ลูกค้าสั่งอาหารจากรถได้ ถือเป็นการปฏิวัติวงการฟาสต์ฟู้ดในขณะนั้น
 
In-N-Out สาขาแรกเป็นเพียงร้านแบบบูธเล็กๆ ขนาด 10 x 10 ฟุต ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกถนนฟรานซิสกีโตและถนนการ์วีในเมืองบอลด์วินภาร์ก เน้นคอนเซ็ปต์ “Quality You Can Taste” – ใช้เนื้อสด ไม่มีการแช่แข็ง ไม่มีไมโครเวฟ โดยทุกเช้าก่อนฟ้าสางคุณแฮร์รีย์จะไปซื้อเนื้อและผักที่ตลาดเพื่อคัดเลือกวัตถุดิบสดใหม่ด้วยตัวเอง ส่วนภรรยาทำหน้าที่ดูแลบัญชีทั้งหมดของร้านจากที่บ้าน ซึ่งอยุ่ไม่ไกลจากร้านมากนัก
 

ภาพจาก https://www.in-n-out.com
 
ปี 1954 In-N-Out เปิดตัวโลโก้ใหม่ลูกศรสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน แทนป้ายเดิมที่เขียนว่า No Delay (ไม่ล่าช้า) ถือเป็นการส่งสัญญาณให้พนักงานทุกคนทำงานภายใต้ลูกศรเดียวกัน
 
ปี 1958 In-N-Out ฉลองครอบรอบ 10 ปี มีจำนวนร้านทั้งหมด 5 สาขาในแถบซานเกเบรียลแวลลีย์ ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย และได้เปิดให้บริการเครื่องดื่มเจากขวดมาเป็นแบบกด และมีเครื่องดื่มให้เลือกหลาย ได้แก่ Pepsi Cola®, Nesbitt Orange และ Hires Root Beer แก้วขนาด 12 ออนซ์ (ไม่มีฝาปิด) มีราคาเพียงแค่ 10 เซนต์เท่านั้น
 
ปี 1961 เริ่มทำเมนูเบอร์เกอร์แบบ Animal Style ตามคำขอของลูกค้า การทำเบอร์เกอร์แบบ Animal Style จะนำเนื้อไปย่างพร้อมมัสตาร์ด แล้วใส่ผักกาดแก้วและมะเขือเทศสด (ตามที่ลูกค้าเลือก) พร้อมเพิ่มแตงกวาดอง ซอสพิเศษปริมาณพิเศษ และหัวหอมผัด
 
ปี 1963 เปิดโรงงานผลิตเนื้อแพตตี้ เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น พร้อมรักษาคุณภาพตามแบบฉบับของ In-N-Out ใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ โดยก่อนที่จะมีโรงงาน คุณแฮร์รีย์จะคัดเลือกเนื้อทุกชิ้นส่วนและบดด้วยตัวเอง แล้วปั้นเป็นแผ่นเนื้อ (แพตตี้) ทีละชิ้นด้วยแท่นกดมือแบบแมนนวล
 
ปี 1970 เปิดตัวแก้วลายตัวละคร ซึ่งสามารถสะสมได้ กลายเป็นแก้วชิ้นแรกในชุดโปรโมชั่นที่มีลวดลายตัวละคร ภาพยนตร์ และธีมเทศกาลต่าง ๆ ราคาในตอนนั้นอยู่ที่ 29 เซนต์ เมื่อซื้อพร้อมกับเครื่องดื่ม Pepsi ปัจจุบันแก้วเหล่านั้นถือเป็นของสะสมที่มีค่า แต่มีเพียงแก้วลายคริสต์มาสและแก้วลาย Indiana Jones™ Temple of Doom เท่านั้นที่มีชื่อ In-N-Out ปรากฏอยู่
 

ภาพจาก https://www.in-n-out.com
 
ปี 1971 ด้วยความสัมพันธ์อันยาวนานของ In-N-Out กับการแข่งรถดรากและรถคลาสสิก คุณแฮร์รีย์ได้ต่อยอดจากการลงทุนเป็นสปอนเซอร์ครั้งแรกในปี 1965 ด้วยการพัฒนาสนามแข่ง Irwindale Drag Strip ทำให้เบอร์เกอร์ในร้าน In-N-Out ภายในสนามขายดิบขายดี มีกลุ่มลูกค้าเป็นนักแข่งรถและแฟนๆ จนได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ 
 
ปี 1972 ปลูกต้นปาล์มไขว้ต้นแรกหน้าร้าน In-N-Out แนวคิดมาจากภาพยนตร์โปรดของผู้ก่อตั้งแฮร์รีย์ สไนเดอร์ คือ It’s a Mad, Mad, Mad, Mad World ซึ่งมีตัวละครวิ่งแข่งกันตามหาสมบัติที่ฝังอยู่ใต้ต้นปาล์มสี่ต้น ที่ปลูกให้เป็นรูปตัวอักษร W ส่วนร้าน In-N-Out เปรียบเสมือนสมบัติของแฮร์รีย์ ทำให้มีการปลูกต้นปาล์มไขว้ไว้หน้าร้าน In-N-Out แทบทุกสาขาในอเมริกา
 
ปี 1973 ครบรอบ 25 ปี ร้าน In-N-Out มีทั้งหมด 13 สาขา ในเขต Los Angeles ทุกสาขาจะเป็นแบบให้ลูกค้าไดรฟ์ทรูได้สองเลน ไม่มีที่นั่งทานอาหารในร้าน แต่จะมีโต๊ะเล็กๆ นอกร้านไม่กี่โต๊ะ สำหรับลูกค้าที่ต้องการนั่งทานที่ร้าน 
 
ปี 1974 เปิดตัวแผนก Cookout พร้อมพนักงาน In-N-Out รุ่นแรก 2 คน ออกงานที่โรงเรียน Badillo ในเมืองโควินา รัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบัน In-N-Out มีรถ Cookout กว่า 10 คัน และพนักงาน 125 คน คอยดูแลการขายตามงานต่างๆ ตั้งแต่โรงเรียน โบสถ์ การกุศล งานแต่งงาน งานวันเกิด และคอนเสิร์ต
 

ภาพจาก https://www.in-n-out.com
 
ปี 1974 เปลี่ยนเป็นผ้ากันเปื้อนสีแดง โดยผ้ากันเปื้อนสีแดงเข้ามาแทนที่ผ้ากันเปื้อนสีขาว ก่อนหน้านี้ ชุดยูนิฟอร์มทั้งหมดจะเป็นสีขาว ยกเว้นรองเท้าและเข็มขัดสีดำ
 
ปี 1975 เพิ่มเมนูมิลค์เชคที่ทำจากไอศกรีมแท้ๆ ก่อนหน้านี้ เมนูมัลต์เคยมีให้บริการเฉพาะบางสาขามานานเกือบสิบปี และก่อนหน้านั้น มิลค์เชคจะถูกผสมให้ลูกค้าในถ้วยกระดาษโดยตรง ซึ่งต้องใช้ความชำนาญสูงจากพนักงาน เพื่อไม่ให้ถ้วยฉีกขณะเตรียมใสภาชนะ 
 
ปี 1976 ผู้ก่อตั้งคุณแฮร์รีย์ ได้เสียชีวิต ลูกชายของเขา Rich Snyder และ Guy Snyder ได้รับตำแหน่งประธานและรองประธานตามลำดับ มุ่งมั่นและสานต่อมอบอาหารที่สดใหม่ คุณภาพสูงสุด และสภาพแวดล้อมที่สะอาดให้กับลูกค้า ตอนนั้นมีร้านอาหารทั้งหมด 18 สาขา
 
ปี 1979 เปิดร้านอาหารที่มีห้องรับประทานอาหารเป็นครั้งแรก ในเมืองออนแทรีโอ เป็นสาขาแรกของ In-N-Out ที่มีทางเลนไดรฟ์ทรูเพียงเลนเดียว หลังจากนั้นมีการเปิดร้านที่ไม่มีห้องทานอาหารอีกเพียง 13 สาขาเท่านั้น 
 

ภาพจาก https://www.in-n-out.com
 
ปี 1984 เปิดอาคาร In-N-Out University ตั้งอยู่บนที่ดินเดียวกับที่เคยเป็นบ้านของครอบครัวสไนเดอร์เมื่อปี 1948 เพื่อฝึกอบรมพนักงานของตัวเอง และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ในปีเดียวกันยังเปิดร้าน In-N-Out สาขาแรกที่ไม่มีไดรฟ์ทรู เป็นร้านสาขาที่ 32 ที่เมืองแพลเซนเทีย รัฐแคลิฟอร์เนีย 
 
ปี 1989 เปิดร้าน Company Store บริเวณสาขาต้นตำรับของ In-N-Out ในเมือง Baldwin Park เพื่อจำหน่ายสินค้ายอดนิยม อาทิ เสื้อยืด In-N-Out ตัวแรกในปี 1975, ผ้าขนหนูชายหาด ปัจจุบัน In-N-Out โมเดล Company Store มี 3 สาขาที่เหลือเป็นร้านค้าออนไลน์ 
 
ปี 1992 เปิดสาขาแรกในรัฐเนวาด้า เป็นสาขาที่ 80 และเป็นสาขาแรกนอกรัฐแคลิฟอร์เนีย
 
ปี 1993 Rich Snyder ลูกชายคนแรกของคุณแฮร์รีย์ เสียชีวิตอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุเครื่องบิน
 
ปี 1993–2006 ภายใต้การบริหารของ Guy Snyder ลูกชายคนเล็กของผู้ก่อตั้ง ขึ้นบริหารต่อจากพี่ชาย และเริ่มขยายสาขา In-N-Out ไปยังรัฐอื่น


ภาพจาก https://www.in-n-out.com
 
ปี 1994 เปิดสาขาที่ 100 ในเมืองกิลรอย รัฐแคลิฟอร์เนีย
 
ปี 1998 ครบรอบ 50 ปี ร้าน In-N-Out มีจำนวนร้านอาหาร 134 สาขา และพนักงาน 5,498 คน
 
ปี 1999 Guy เสียชีวิตด้วยอาการเสพยาเกินขนาด ทิ้งมรดกไว้ให้ Lynsi Snyder ลูกสาววัย 17 ปี
 
ปี 2000 เปิดร้านสาขาแรกในเมืองเลก ฮาวาซู รัฐแอริโซนา
 
ปี 2005 เปิดสาขาครบ 200 สาขาในเมืองเทเมคูลา รัฐแคลิฟอร์เนีย
 

ภาพจาก https://www.in-n-out.com
 
ปี 2006 - ปัจจุบัน ร้านเบอร์เกอร์ In-N-Out อยู่ภายใต้การบริหารของ Lynsi Snyder หลายสาวของผู้ก่อตั้ง ธุรกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงภายใต้ผู้นำเจเนอเรชันใหม่ โดย Lynsi Snyder เข้ารับตำแหน่ง CEO ในปี 2010 เมื่ออายุประมาณ 28 ปี
 
เธอกลายเป็นเจ้าของและซีอีโอหญิงที่อายุน้อยที่สุด ที่ติดอันดับ Forbes ในปี 2012 ดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์แบบอนุรักษ์นิยม + ยึดมั่นในอัตลักษณ์ของแบรนด์
 
ปี 2015 เปิดสาขาแรกในเท็กซัส ถือเป็นตลาดสำคัญในอเมริกา 
 
ปัจจุบัน In-N-Out มีมากกว่า 400 สาขาใน 8 รัฐ ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย, เนวาดา, แอริโซนา, ยูทาห์, เท็กซัส, โคโลราโด, ไอดาโฮ และโอเรกอน ที่สำคัญเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เติบโตเร็วแต่ยังไม่ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ และไม่ขายแฟรนไชส์

กลยุทธ์หลักทำให้ In-N-Out เติบโตได้ถึง 400 สาขา 
1.ควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด
 

ภาพจาก www.facebook.com/innout

In-N-Out ยืนหยัดใช้วัตถุดิบสดใหม่ ไม่มีอาหารแช่แข็ง ไม่มีไมโครเวฟตั้งแต่รุ่นก่อตั้ง มีการสร้างโรงงานผลิตเนื้อของตัวเอง เพื่อควบคุมคุณภาพได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ละร้านจะเปิดได้ก็ต่อเมื่ออยู่ใกล้ศูนย์กระจายสินค้าที่ขนส่งของสดได้ภายใน 1 วัน
 
2.ไม่ขายแฟรนไชส์ เพื่อควบคุณภาพมาตรฐาน
 
การไม่ขายแฟรนไชส์ทำให้ร้านเบอร์เกอร์ In-N-Out สามารถควบคุมมาตรฐานการบริการ วัตถุดิบ และวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างเข้มข้น โดยมีศูนย์ฝึกอบรมพนักงานของตัวเองโดยเฉพาะ เมื่อขยายสาขาเพิ่มทำให้ไม่เกิดปัญหา "มาตรฐานไม่เท่ากัน" เหมือนแบรนด์ที่ขยายแฟรนไชส์ ที่สำคัญการบริหารแบบรวมศูนย์ ยังช่วยให้พนักงานได้รับสวัสดิการดีเยี่ยม มีแรงจูงใจสูง
 
3.ขยายสาขาอย่างรอบคอบ
 

ภาพจาก www.facebook.com/innout

In-N-Out ใช้เวลากว่า 75 ปีในการขยายเพียง 400 สาขา (เฉลี่ยปีละประมาณ 5 สาขา) มีการเลือกทำเลเปิดร้านอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาโลจิสติกส์ ความใกล้ศูนย์กระจายสินค้า และความสามารถในการรักษาคุณภาพ สาขาแรกเริ่มจาก California แล้วค่อยๆ ขยายไปยังรัฐใกล้เคียง 
 
4.สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง
 
พนักงานได้รับการอบรมอย่างเข้มข้นผ่าน In-N-Out University ทำให้มีความจงรักภักดีสูง ค่าตอบแทนสูงกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรมร้านอาหารทั่วไป ที่สำคัญมีการให้บริการที่อบอุ่น มีความเป็นครอบครัว ถือเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดลูกค้าอย่างยั่งยืน
 
5.รักษาภาพลักษณ์ "คลาสสิก"
 

ภาพจาก www.facebook.com/innout

In-N-Out มีเมนูในร้านที่เรียบง่าย ไม่เปลี่ยนบ่อย มีแค่เบอร์เกอร์, เฟรนซ์ฟรายส์ และเชคมิลล์ ไม่มี gimmick เกินจำเป็น ไม่มีแอปส่งอาหาร ไม่มีเมนูตามกระแส แต่กลับกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและรักในความเป็นดั้งเดิมตั้งแต่เริ่มต้น 
 
6.สร้างผู้นำให้เติบโตจากภายใน
 
ผู้นำระดับสูงของแบรนด์ In-N-Out เช่น Mark Taylor, Lynsi Snyder ล้วนแต่เติบโตมาจากภายในองค์กร เมื่อออกไปบริหารสาขาอื่นๆ ทำให้เข้าใจวัฒนธรรมบริษัท ที่สำคัญคือไม่มีซีอีโอจากภายนอกมา disrupt วิสัยทัศน์เดิมขององค์กร 
 
ผลลัพธ์ของกลยุทธ์
 

ภาพจาก www.facebook.com/innout
  • ขยายได้ถึง 400 สาขาใน 8 รัฐ โดยยังรักษาคุณภาพได้เหมือนสาขาแรก
  • สร้างฐานลูกค้าเหนียวแน่น มีแฟนคลับทั่วโลก แม้ยังไม่มีสาขาต่างประเทศ
  • เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มี Brand Loyalty สูงสุดในวงการฟาสต์ฟู้ด
  • พนักงานมีความพึงพอใจสูง มีค่าตอบแทนสูง ทำงานระยะยาวในองค์กร 
สรุป การดำเนินธุรกิจบางครั้งไม่จำเป็นต้องรีบโต ถ้ายังรักษาคุณภาพไม่ได้ ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรเทียบเท่าสินค้า รวมถึงต้องควบคุมต้นน้ำถึงปลายน้ำจะทำให้ควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า และไม่ตามเทรนด์อาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับธุรกิจคุณ
 
อ้างอิงข้อมูล 
 
https://www.in-n-out.com/history 

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
610
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
508
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
428
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
413
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
408
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด