บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
3.9K
3 นาที
24 มีนาคม 2563
ประกันสังคม ช่วยเราได้แค่ไหนเมื่อตรวจ-รักษา “โควิด-19”


 
หนึ่งในความกังวลของคนไทยตอนนี้คือ “กลัวเป็นโควิด-19 แล้วไม่มีเงินรักษา”  ในฐานะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศรายได้ไม่มาก บางคนรายได้แค่เดือนชนเดือน บางทีเงินเดือนก็ใช้ไม่พอเดือน เจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดาก็อาศัยซื้อยาตามร้านหมอ ไม่มีใครอยากเข้าโรงพยาบาลเพราะไปทีก็เสียเงินไม่น้อย www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่านี่คือปัญหาคู่ขนานที่แม้แต่รัฐบาลเองก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ หากจะประกาศให้รักษาโควิด-19 ฟรี ตรวจฟรี ก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณเข้ามาจ่ายทดแทนในวงเงินที่สูง ดูแล้วไม่มีทางทำได้แน่
 
เมื่อไปหวังพึ่งของ “ฟรี” ที่ไม่มีทางเกิดขึ้น สู้เรามาเรียนรู้สิทธิขั้นพื้นฐานที่คนอย่างเราๆพอจะทำได้ ด้วยสิทธิประกันสังคมที่เชื่อว่าทุกคนที่ทำงานต้องมีการหักเงิน “ประกันสังคม” ทุกเดือนและเมื่อถึงเวลาแบบนี้หลายคนคงตั้งคำถามว่า “ประกันสังคม ช่วยเราได้แค่ไหน ในการตรวจ-รักษา โควิด-19”
 
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สิทธิประกันสังคมจะ “รักษาฟรี” ต่อเมื่อใช้สิทตามสถานพยาบาลที่เราเลือกไว้วึ่งจะเป็น 2 ลักษณะคือ เป็นโควิด-19 และใช้สิทธิตามสถานพยาบาลที่เลือก (ฟรี) แต่ถ้าเป็นการตรวจโดยที่ยังไม่มีอาการอันนี้ประกันสังคมไม่ฟรี


ภาพจาก bit.ly/33Sfr45
 
1. มีอาการป่วย
 
มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอก ให้สวมหน้ากากอนามัยแล้วรีบไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมที่เราเลือกไว้ได้เลย แพทย์จะส่งตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัสฟรี ในกรณีที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัสขึ้นมาจริง ๆ ก็จะได้รับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากไม่สามารถไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ได้ เช่น ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างพื้นที่ เราสามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ หรือโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งตามระบบประกันสังคมได้ก่อนเลย โดยจะเบิกจ่ายเป็นกรณีฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ซึ่งหากเราต้องสงสัยว่าติดเชื้อและต้องถูกกักกัน ให้แจ้งโรงพยาบาลตามสิทธิ์เพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
 
2. กรณีนี้ประกันสังคมไม่ครอบคลุมการตรวจ
 
หากเราอยากตรวจหาเชื้อจริง ๆ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง โดยในประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่ให้บริการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงเข้าข่าย ตามเงื่อนไขดังนี้ ยกตัวอย่างโรงพยาบาลที่ตรวจเช่น
  • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย ราคา 3,000 – 6,000 บาท
  • โรงพยาบาลราชวิถีผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย ราคา 3,000 – 6,000 บาท
  • โรงพยาบาลรามาธิบดีผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย ราคา 5,000 บาทขึ้นไป
  • โรงพยาบาลพญาไท 2 ผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย ราคาประมาณ 6,100 บาท
  • โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย ราคาประมาณ 8,000 บาท
  • สถาบันบำราศนราดูร ผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย ราคาประมาณ 2,500 บาท
  • โรงพยาบาลพระราม 9 ผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย 8,000 – 10,000 บาท
  • โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล พระประแดง ผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ เสียค่าใช้จ่าย ราคา 5,000 บาทขึ้นไป
 
สิทธิการได้รับเงินทดแทนจากการรักษาตัว “โควิด-19”


ภาพจาก bit.ly/2JdxdFo
 
ในกรณีที่เราตรวจพบและแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัว ผู้ประกันตนกับประกันสังคมจะได้รับค่าจ้างดังนี้
 
1. ค่าจ้างจากนายจ้าง
 
กรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถใช้สิทธิ์ลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างไม่เกิน 30 วัน/ปี
 
2. เงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคม
 
กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนฯ ให้ในอัตรา 50% ของค่าจ้าง (คิดจากฐานอัตราเงินเดือนสูงสุดของผู้ประกันตนแต่ละมาตรา) โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับเงินทดแทนฯ ไม่เกิน 365 วัน
 
ใครมีสิทธิ์รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคม ?

นายสุทธิ สุโกศล ประธานคณะกรรมการประกันสังคม
ภาพจาก matichon
 
1. ผู้ประกันตนมาตรา 33 (ทำงานกับนายจ้าง)

มีสิทธิ์ได้เงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนวันที่เข้ารับการรักษาพยาบาล โดยแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัว และจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานไม่เกิน 15,000 บาท ตามกฎหมายประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่ เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
 
2. ผู้ประกันตนมาตรา 38 (ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน แต่ยังอยู่ในสิทธิ์คุ้มครอง 6 เดือน)

มีสิทธิ์ได้รับเงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และเจ็บป่วยภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน โดยแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัวและต้องมีรายได้จากการประกอบอาชีพ  หรือเจ็บป่วยต่อเนื่องจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จึงถือว่ามีรายได้จากการทำงานก่อนการเจ็บป่วย และได้รับเงินทดแทนเช่นเดียวกับมาตรา 33
 
3. ผู้ประกันตนมาตรา 39 (ประกันตนเอง)

กรณีมีรายได้ หรือมีกิจการเป็นของตนเอง ให้นำหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานอัตราการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 39 (4,800 บาท) ตามกฎหมายประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
 
4. ผู้ประกันตนมาตรา 41 (ลาออกจากมาตรา 39 แต่ยังอยู่ในสิทธิ์คุ้มครอง 6 เดือน)

มีสิทธิ์รับเงินทดแทนเมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และเจ็บป่วยภายใน 6 เดือนนับแต่ วันที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน โดยแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัวและต้องมีรายได้จากการประกอบอาชีพ หรือเจ็บป่วยต่อเนื่องจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จึงถือว่ามีรายได้จากการทำงานก่อนการเจ็บป่วย โดยจะได้รับสิทธิ์เหมือนกับผู้ประกันตนมาตรา 39
 
สำหรับผู้ที่เข้าข่ายว่าควรจะต้องไปตรวจว่าติดเชื้อโควิด 19 หรือไม่ ได้แก่


ภาพจาก freepik.com
  1. มีไข้หรือวัดอุณหภูมิร่างกายได้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ร่วมกับมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเร็ว หรือหายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก 
  2. มีประวัติเดินทางไปหรือกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการรายงานการระบาดของโรค ติดเชื้อเชื้อไวรัสโควิด-19
  3. มีประวัติใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวที่มาจากพื้นที่ที่มีการรายงานการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
  4. มีประวัติใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่ยืนยันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
  5. เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
 
ประกันสังคมกับมาตรการช่วยเหลือหลังจากมีคำสั่ง “ปิดชั่วคราว”


ภาพจาก bit.ly/2xhxTXs
 
และหลังจากที่มีคำสั่ง “ปิดชั่วคราว” ของห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ เพิ่มเติมไปจนถึงวันที่ 12 เมษายน ทางกระทรวงแรงงานจึงมีมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างเริ่มจาก

1. สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะจ่ายให้ผู้ประกันตนกรณีว่างงานร้อยละ 50 เป็นระยะเวลาเกิน 60 วัน (50% ไม่เกิน 7,500 บาท/เดือน) สำหรับผู้ประกันตนที่ไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ทำงานเนื่องจากโควิด -19 ประกันสังคมจะจ่ายกรณีว่างว่างอัตราร้อยละ 50 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน (50% ไม่เกิน 7,500 บาท/เดือน)
 
2. มาตรการให้ลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตน เป็นอัตราร้อยละ 4 เป็นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมทั้งให้ขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33,39 สำหรับงวดค่าจ้างเดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม ออกไปอีก 3 เดือน
 
ในสภาพการณ์ที่ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์จะไปสูงสุดถึงขึ้นไหน ที่ดีที่สุดคือการป้องกันตัวเอง และการวางแผนให้กับตัวเอง และหากมีเงินหรือมีกำลังในการจ่ายมากพออาจจะซื้อประกันโควิด 19 มาไว้ให้อุ่นใจมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเบี้ยรายปีคุ้มครองปีต่อปี ในราคาไม่แพง อย่างน้อยก็ทำให้เรามีทางเลือกว่าหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันเราก็ยังมีเงินทุนไว้สำหรับรักษาตัวเองหรืออย่างน้อยก็ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน

ติดตามได้ที่ Add LINE id:
 @thaifranchise
 
  
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document/
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
608
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
502
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
420
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
409
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด