อุตสาหกรรมค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา ได้รับผลกระทบจากการเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่พอเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งสหรัฐอเมริกาถือว่าเลวร้ามากที่สุดในโลก มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 2 ล้านคน(11 มิย.63) ยิ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศ อย่างชิดที่กู่ไม่กลับอีกต่อไป เพราะผู้คนทำงานจากที่บ้าน สั่งของออนไลน์ ไม่เดินห้าง

 

ล่าสุดมีรายงานว่า ผู้ค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาเตรียมที่จะปิดร้านถึง 25,000 ร้านค้าในปี 2563 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ได้เปลี่ยนไป โดยร้านค้าปลีกที่จะปิดตัวลงคิดเป็นสัดส่วน 55-60% อยู่ในห้างสรรพสินค้า การปิดตัวของผู้ค้าปลีกในปีนี้จะมากกว่าในปี 2562 ที่มีจำนวน 9,300 ร้านค้า 

ภาพจาก bit.ly/2Ah5Ycd

 

วิกฤตในอุตสาหกรรมค้าปลีกสหรัฐอเมริกา นอกจากผู้ค้าปลีกต่างๆ ที่เช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าจะได้รับผลกระทบขายของไม่ได้แล้ว ผู้ให้ชื้นที่อย่างผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าต่างๆ ก็ต้องดิ้นรนในการหาผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ กลับเข้ามาเช่าพื้นที่ ไม่เช่นนั้นก็จะเดินหน้าไปไม่ไหวเช่นเดียวกัน อาจถึงขั้นต้องยื่นล้มละลายไปเลย 

 

มีรายงานว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา การล้มละลายในธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาได้เริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งจากตามรายงานพบว่า ห้างสรรพสินค้าในเครือ Neiman Marcus, Stage Stores และ J.C. Penney ได้ยื่นฟ้องล้มละลายไปแล้ว 

 

ดังนั้น คาดว่าต้องมีเชนห้างสรรพสินค้าเหล่านี้จำนวนหนึ่ง จะต้องปิดร้านค้าบางร้าน แต่ Stage Stores ได้แจ้งว่าอาจต้องปิดสาขาทั้งหมดหากไม่สามารถทำยอดขายและลูกค้าไม่มาใช้บริการ 

ภาพจาก bit.ly/30A8VPB

 

จนถึงปัจจุบันมีจำนวนผู้ค้าปลีกปิดร้านไปแล้ว 4,005 แห่งในปี 2563 รวมกว่า 900 แบรนด์ อาทิ Pier 1 Imports ผู้ค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้านปิด 300 แห่ง, GNC ผู้ค้าปลีกด้านสุขภาพมากกว่า 300 แห่ง รวมถึง Secret's Victoria's Secret, Papyrus และ Penney ที่ได้ทำการปิดร้านไปแล้วจำนวนหนึ่งเช่นกัน โดยผู้ค้าปลีกเหล่านี้ได้เปลี่ยนจากออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์มากขึ้น

 

อุตสาหกรรมเกือบทุกกลุ่มในสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตโควิด-19 ยกเว้นผู้ค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม สุขภาพและความงาม ซึ่งกลุ่มดังกล่าวแม้วง่าจะมียอดขายลดลงในช่วงการระบาดโควิด-19 แต่ฟื้นตัวได้เร็ว 

 

อ้างอิงข้อมูล 

 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)