บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
1.7K
2 นาที
18 มิถุนายน 2563
เศรษฐกิจไทยถึงเวลาจมดิ่งแล้วอสังหาริมทรัพย์ล่ะ?

 
ภาพจาก bit.ly/30ZvkWC
 
ระเบียบโลกใหม่เริ่มต้นที่ข้อตกลงพลาซาเมื่อ 35 ปีก่อน ส่งผลให้ญี่ปุ่นสยายปีกไปทั่วโลก และที่สำคัญทำให้ไทยกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ แล้วตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังจะถอนตัวจากไทย ไทยจะเป็นอย่างไร
 
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ชี้ให้เห็นถึงกรณี “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว” ในแง่การลงทุนอสังหาริมทรัพย์โลกและไทยผ่านกรณีข้อตกลงพลาซา ที่ทำให้เกิดการลงทุนข้ามชาติขนานใหญ่ ซึ่งไทยก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย  แต่มาทีนี้ไทยกำลังจะตกที่นั่งลำบาก ทุนต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นถอนตัวจากไทย ไทยจะผลิตสินค้าแบรนด์ของตนเองแบบเกาหลี ไต้หวัน จีนได้หรือไม่ หรือรอให้เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์แซงเราไป เช่นที่เกาหลี ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ แซงมาแล้ว


ภาพจาก hbit.ly/2N6Gilb
 
ข้อตกลงพลาซา (อังกฤษ: Plaza Accord) มี “ชื่ออย่างเป็นทางการคือ ปฏิญญาระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐ (Announcement of the Ministers of Finance and Central Bank Governors of France, Germany, Japan, the United Kingdom, and the United States) เป็นข้อตกลงระหว่าง 5 ประเทศอุตสาหกรรมหลัก เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นและเยอรมนีเพิ่มค่าเงินของตัวเองเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลทั้งห้าประเทศได้ลงนามข้อตกลงนี้ในวันที่ 22 กันยายน 2528 ที่โรงแรมพลาซา ในนครนิวยอร์ก”
 
ผลของข้อตกลงนี้ก็คือ “ญี่ปุ่นและเยอรมนีสามารถซื้อหาสินค้าต่างประเทศได้ในราคาถูกลงเกือบเท่าตัว แต่ในทางตรงข้าม สินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นในสายตาของชาวโลกกลับมีราคาแพงขึ้นเท่าตัวด้วยเช่นกัน... เมื่อภาคการผลิตในญี่ปุ่นทำผลกำไรลดต่ำลง จึงเกิดการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่าและขนส่งได้สะดวก ซึ่งก็คือกลุ่มอาเซียน” โดยเฉพาะไทย  ทั้งนี้ไทยถือเป็นเป้าหมายใหญ่ บริษัทใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นย้ายมาไทยมากกว่าประเทศอื่น ในขณะเดียวกันประเทศในอินโดจีนยังขาดความมั่นคงทางการเมือง ฟิลิปปินส์ก็เพิ่งมีการโค่นล้มประธานาธิบดีมากอสในปี 2529  ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเติบโตขึ้นมาได้เพราะญี่ปุ่น
 
ในสมัยนั้น ญี่ปุ่นไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งที่ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลียและไทยกันอย่างเมามัน ส่งผลให้เกิดช่วง “บูม” ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย พ.ศ.2529-2533  เงินเยนแข็งค่าขึ้น อันมีผลส่วนหนึ่งให้การส่งสินค้าจากญี่ปุ่นเข้าสหรัฐอเมริกากระทำได้ยากขึ้น แต่เดิมเมื่อ พ.ศ.2528 เงิน 1 เหรียญสหรัฐแลกได้ 240 เยน แต่ 2 ปีนับจากการลงนามในสัญญานี้เงิน 1 เหรียญสหรัฐแลกได้เพียง 120 เยนเท่านั้น


ภาพจาก bit.ly/2Yb9T39
 
การนี้ทำให้ญี่ปุ่นย้ายการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมาในประเทศไทยรวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนเพื่อผลิตสินค้าส่งไปขายยังสหรัฐอเมริกาและยุโรปแทนการผลิตในญี่ปุ่น เงินเยนแข็งค่าจนสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้มากมาย นับแต่นั้นมาผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชนในภาคอุตสาหกรรมของไทยก็แซงหน้าภาคเกษตรกรรมอย่างเด่นชัด และการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทยนับเป็นผลพวงจากการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) โดยเฉพาะญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นถือเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุด
 
อาจกล่าวได้ว่า FDI ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างขนานใหญ่ ที่ดินชานเมืองหรือในต่างจังหวัดที่แต่เดิมมีศักยภาพทำแต่การเกษตร กลับสามารถแปลงเป็นที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้  เมื่อศักยภาพเปลี่ยนไป ราคาก็เพิ่มขึ้นมหาศาล เมื่อมีกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม การพัฒนาที่อยู่อาศัยและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ก็เกิดตามมา ซึ่งยิ่งทำให้ราคาที่ดินถีบตัวสูงขึ้นไปอีก เนื่องด้วยที่ดินสามารถแบ่งซอยมาใช้อย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในที่ดินเพื่อการพาณิชย์ย่อมสูงกว่าที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม ยิ่งทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด


ภาพจาก bit.ly/3d9nRGX
 
แต่ 30 ปีผ่านไป ในขณะนี้ญี่ปุ่นกำลังจะย้ายออกจากไทย เช่น พานาโซนิกก็ย้ายไปเวียดนาม ชาร์ปก็ย้ายไปอินโดนีเซีย  อันที่จริง ประเทศไทยถือเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” เพราะ “ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางการผลิตของบรรดาค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ใช้เป็นฐานและครองตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน โดยทั้งโตโยต้า มอเตอร์, ฮอนด้า มอเตอร์, นิสสัน มอเตอร์, มาสด้า, อีซูซุ มอเตอร์ส ต่างมีโรงงานในไทย ซึ่งโดยรวมแล้วในปี 2018 ค่ายรถยนต์ต่างๆ ผลิตรถยนต์รวมกัน 2.16 ล้านคันในไทย และราวครึ่งหนึ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก”
 
นี่ถ้าบริษัทรถยนต์ย้ายออกไป บรรดาบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ทั้งหลายก็คงพังไปด้วย ระบบเศรษฐกิจไทยก็คงพังไปกันใหญ่  ทุกวันนี้บริษัทใหม่ๆ ของญี่ปุ่น เกาหลี จีน ต่างไปอินโดจีน อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เป็นอย่างมาก จะทำให้ประเทศเหล่านี้มีเศรษฐกิจที่เติบโตก้าวกระโดด และเชื่อว่าในไม่ช้าอาจจะทัดเทียมไทย และที่น่ากลัวก็คืออาจจะแซงหน้าประเทศไทยไปในที่สุดเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย และจีน เป็นต้น
 
การย้ายออกของบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่กำลังทยอยเกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพราะค่าแรงแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นเพราะค่าเงินบาทของไทยแข็งกว่าชาติอื่น ทำให้สินค้าที่ผลิตในไทยลดขีดความสามารถในการแข่งขันลงเนื่องจากราคาแพงขึ้น  นี่แสดงถึงความผิดพลาดในการบริหารเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลไทย จึงทำให้เกิดภาวะเช่นนี้เป็นเวลานานจนกระทั่ง โรงงานญี่ปุ่นซึ่งเป็นเสมือน “กระดูกสันหลัง” ของอุตสาหกรรมไทย ต้องคิดถอยห่าง
 
ทุกวันนี้กัมพูชาก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก บริษัทยักษ์ใหญ่จากทั้งเกาหลี จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ต่างพากันไปลงทุนกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเมียนมาเช่นกัน  ถ้าไทยยังเป็นเหมือนเดิม ประชาชนจะอยู่ยากมาก ประเทศไทยอาจจะชะลอตัวอย่างรุนแรง กลายสถานะเป็น (2 หรือ) 3 ทศวรรษที่หายไปของญี่ปุ่น บ้านเมืองไทยอาจเหมือนอาเจนตินา หรือบราซิลในช่วงหนึ่งที่การพัฒนาต่างๆ ที่เคยเติบโตหยุดนิ่งหายไปเฉยๆ
 
สัดส่วนของภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมในผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ พ.ศ.2494-2546



ภาพจาก bit.ly/2YLZlqd
 
ที่มา : https://bit.ly/2YKAJyq
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
503
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
421
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด