บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
692
2 นาที
26 มิถุนายน 2567
เจาะกลยุทธ์! Brand Key 9 ขั้นตอน สำเร็จตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
 

มีหลายคนสงสัยว่าทำธุรกิจเหมือนกันแต่ทำไม บางคนทำสำเร็จ! บางคนไม่สำเร็จ? 
 
ความแตกต่างคืออะไร? เงินทุน หรือประสบการณ์ 
 
ผลการสำรวจชี้ชัดลงไปอีกว่าผู้ที่ทำธุรกิจขนาดย่อมแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
  • กลุ่มที่สามารถทำกำไร ซึ่งมีประมาณ 40% ของเหล่า SMEs ทั่วประเทศ
  • กลุ่มที่มีผลประกอบการระดับปานกลาง ซึ่งมีประมาณ 30% ของเหล่า SMEs ทั่วประเทศ
  • กลุ่มที่มีผลกระกอบการขาดทุน ซึ่งมีประมาณ 30% ของเหล่า SMEs ทั่วประเทศ เช่นกัน
ถ้าเจาะลึกไปอีกจะพบว่า มีธุรกิจขนาดย่อมที่ปิดตัวลงหลังจากเปิดกิจการภายใน 5 ปีแรกถึง 95% และยังมีอีกกว่า 50% ที่ปิดกิจการภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี ทั้งๆ ที่นักธุรกิจเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ไม่ขยัน ไม่สู้ชีวิต ไม่อดทน เพียงแต่แค่ทำในสิ่งที่ยังไม่ถูกต้องเพียงเท่านั้น
 
 
ในทางทฤษฏีมีโมเดลสู่ความสำเร็จให้ศึกษาเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฏี “7S” , ทฤษฎีการบริหารจัดการ POCCC , ทฤษฎีของแมคเคลแลนด์ , แนวคิดแบบสามเหลี่ยมอัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าทุกทฤษฏีมีเป้าหมายที่ให้ผู้ปฏิบัติตามเดินหน้าสู่ความสำเร็จ แต่เนื่องจากปัจจัยและตัวแปรในการทำธุรกิจของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การจะให้ประสบความสำเร็จเหมือนกันจึงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก
 
หนึ่งในโมเดลสู่ความสำเร็จที่น่าสนใจและคิดว่าคนทำธุรกิจน่าจะเอามาปรับใช้ได้คือวิธีที่เรียกว่า คือ Brand Key Framework และถ้าจะให้อธิบายความหมายของคำนี้แบบง่ายๆ ก็คือ เครื่องมือที่ช่วยในการสร้างแบรนด์ และหาตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ โดยมีหัวใจหลักของกลยุทธ์นี้ 9 ข้อได้แก่
 
1. ประวัติศาสตร์ (ความแข็งแกร่งของแบรนด์)
 

หลายแบรนด์ที่มี Brand’s History ส่วนใหญ่จะกลายเป็นแบรนด์ดัง ยกตัวอย่าง กางเกงยีนรุ่น Levi's 501 เป็นจุดเริ่มต้นของกางเกงขุดเหมือง ก่อนจะกลายเป็นกางเกงยีนแฟชั่นตัวแรกของโลก ที่ทำให้แบรนด์ Levi's กลายเป็นแบรนด์ในตำนาน ได้รับความไว้วางใจจากใครหลาย ๆ คนหรือ Apple ที่ในช่วงเวลาหนึ่ง คือ เป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนทั่วโลก จากการใช้โทรศัพท์มือถือแบบปุ่มกด สู่การใช้สมาร์ตโฟนหน้าจอสัมผัส อย่างแพร่หลาย เป็นต้น
 
2. สภาพแวดล้อมการแข่งขัน (Competitive Environment)
 

คือ การพิจารณาคู่แข่งที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น ถ้าเราขายสินค้าเกี่ยวกับชานมไข่มุก ก็ควรศึกษาคู่แข่งที่ทำแบรนด์ใกล้เคียงกัน รวมถึงคู่แข่งทางอ้อมอื่น ๆ ด้วย เช่น น้ำอัดลม, น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เป้าหมายของการศึกษาคู่แข่งเพื่อสร้างจุดที่แตกต่างเพื่อให้แบรนด์มีเอกลักษณ์มากขึ้น

3. กลุ่มเป้าหมาย (Target)
 

เราต้องรู้ว่าสินค้าเราต้องขายให้ใคร จากนั้นศึกษาถึงรายละเอียดเชิงลึกในกลุ่มลูกค้าเช่น พฤติกรรม, เป้าหมาย, ปัญหา หรือเส้นทางการเป็นลูกค้า เพื่อนำมาวิเคราะห์และสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด

4. ข้อมูลเชิงลึก (Insight)
 

ข้อมูลเชิงลึก สามารถหาได้จากหลากหลายวิธี เช่น การหาแนวโน้มเทรนด์ของตลาด,การสัมภาษณ์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแบบเจาะลึก, การใช้แบบสอบถาม หรือการใช้ Social Media เป็นต้น

5. ข้อดี / ประโยชน์ (Benefits)
 

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมีคุณค่าในตัวเอง และสามารถเชื่อมโยงให้กับกลุ่มลูกค้าได้ แบรนด์ดังส่วนใหญ่มักมีกิจกรรมเพื่อสังคม หรือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพจำให้คนรู้จักแบรนด์ได้มากขึ้นด้วย

6. ค่านิยม, ความเชื่อ และบุคลิกภาพ (Values, Beliefs & Personality)
 

ทั้ง3 สิ่งนี้ จะเป็นตัวกำหนดรูปลักษณ์และความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์เช่น Starbucks ที่ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า ชุมชน และสิ่งแวดล้อมทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าแบรนด์ Starbucks มีความเข้าถึงได้ง่าย
 
7. เหตุผลที่น่าเชื่อถือ (Reason to Believe)
 

คือ สิ่งที่มาสนับสนุนความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ สินค้า หรือบริการซึ่งอาจจะเป็นการได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ หรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ, มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือรีวิวการใช้งานจริงจากลูกค้าเก่าก็ได้ หากเราสังเกตกดีๆ สินค้าหลาย แบรนด์ จะมีการนำผลการทดสอบหรือรีวิวความพึงพอใจของลูกค้า มาใช้ในการโฆษณากันเป็นจำนวนมาก

8. คุณลักษณะที่แตกต่าง (Discriminator)
 

คือ ความแตกต่างระหว่างแบรนด์ของเรากับคู่แข่งถ้ายิ่งสร้างความแตกต่างได้ดี และสื่อออกไปให้ลูกค้ารับรู้ ก็จะสามารถทำให้ลูกค้าหันมาใช้สินค้าของแบรนด์เราที่มีความโดดเด่นกว่าได้เช่นกัน

9. แก่นแท้และ ใจความสำคัญของแบรนด์ (Brand Essence)
 

เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องยืนหยัดในทางการค้าและการตลาด ซึ่งหมายถึงพันธกิจหรือคำมั่นสัญญาที่แบรนด์มีต่อลูกค้า เช่น Nike มีพันธกิจของแบรนด์ คือ การส่งมอบแรงบันดาลใจ และนวัตกรรมให้กับนักกีฬาทั่วโลก เป็นต้น
 
สิ่งเหล่านี้คือ Brand Key Framework ที่เป็นรากฐานสู่ความสำเร็จของแบรนด์ ซึ่งในฐานะผู้ลงทุนอาจต้องค่อยๆสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น สำคัญที่สุดคือการบริหารจัดการ , การวางแผนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งยุคนี้คู่แข่งเยอะ ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็มาก การทำธุรกิจยิ่งต้องมีความรัดกุมเพื่อโอกาสในการอยู่รอดต่อไป


ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
610
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
508
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
428
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
413
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
408
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด