บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
292
2 นาที
5 กันยายน 2568
10 วิธีสร้างธุรกิจให้เป็น “Market Leader” แชร์ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด
 

ภาพรวมธุรกิจในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง + ปัจจัยเสี่ยงๆก็เยอะมาก ในมุมของผู้ประกอบการเองต้องสู้กับวิกฤติต้นทุนที่เพิ่มทั้งค่าแรง + วัตถุดิบ + บริหารจัดการ ส่วนวิกฤติในด้านการตลาดคือกำลังซื้อที่ลดลง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนรวดเร็ว รวมถึงการมีคู่แข่งเยอะมาก ทำธุรกิจในยุคนี้ให้รอดไม่ใช่แค่มีเงินทุนแต่ต้องมีแนวคิดบริหารจัดการ+ การวางแผนที่ดีร่วมด้วย
 
และในธุรกิจแต่ละหมวดหมู่ก็มีขาใหญ่เจ้าประจำหรือแบรนด์ดังที่เป็นตัวหลัก ยกตัวอย่างร้านสะดวกซื้อที่มีมูลค่า 5.73 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8.1% ต่อปี เจ้าตลาดคือ 7-Eleven ที่ครองสัดส่วนสูงสุดถึง 72%  หรือในกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร-เครื่องดื่ม ก็มีรายงานกว่าผู้ประกอบการรายเล็กมีความเสี่ยงถึง 40% ที่อาจต้องปิดกิจการภายใน 3 ปี หรือในตลาดอีคอมเมิร์ชนี่ก็ยิ่งดุเดือดมูลค่ารวมกว่า 1.07 ล้านล้านบาท สู้กันอยู่หลายแพลตฟอร์มทั้ง Shopee , Lazada และ TikTok โดยต่างก็มีกลุ่มลูกค้าของตัวเองและมีการส่งเสริมด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง
 
คำถามคือปัญหาที่มากมายทั้งในเรื่องคู่แข่งเยอะและลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น ในฐานะผู้ประกอบการจะใช้วิธีไหนเข้าสู้เพื่อให้อยู่รอดในยุคนี้ได้
 
1. รู้จักลูกค้าให้ลึกกว่าคู่แข่ง
 

ควรใช้ Data Analytics / CRM เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อตัวเลข มีผลสำรวจชี้ชัดว่า 76% ของลูกค้ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อประสบการณ์ที่ดีขึ้น เช่นถ้าเราเปิดร้านกาแฟที่คู่แข่งเยอะ อาจใช้ LINE OA ส่งโปรเฉพาะคนชอบเมนู “ลาเต้” เพิ่มโอกาสลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้ถึง 30%
 
2. สร้างความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวและคำบอกเล่า (Social Proof)
 

ปัจจุบันรีวิวของลูกค้าจริง มีน้ำหนักมากกว่าคำโฆษณาใด ๆ หากธุรกิจเรามีรีวิวที่ดีจากลูกค้ากว่า 80% บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จะช่วย เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าใหม่ได้ถึง 20-30% ซึ่งจะเห็นว่ามีหลายแบรนด์ที่เน้นการทำตลาดในรูปแบบนี้
 
3. การตลาดแบบ Niche Marketing 
 

การโฟกัสเฉพาะเจาะจงแค่กลุ่มลูกค้าจะประหยัดต้นทุนการตลาดและได้ผลมากกว่า มีข้อมูลระบุว่า SME ที่เจาะ Niche Market มีกำไรเฉลี่ยสูงกว่าตลาด Mass 2-3 เท่า เช่นถ้าเราขายเสื้อผ้าลองเปลี่ยนมาขายเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงที่มีรูปร่างพิเศษ หรือการทำร้านอาหารที่เน้นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก
 
4. ใช้ Loyalty Program 
 

เพื่อทำให้ลูกค้าอยู่กับเรานานขึ้น โดยมีข้อมูลว่าลูกค้าเก่ามีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ 60-70% แต่ลูกค้ารายใหม่มีโอกาสมาซื้อซ้ำเพียงแค่ 5-20% เท่านั้น จึงเห็นแบรนด์ดังใช้กลยุทธ์นี้เช่น การใช้บัตรสะสมแต้มของร้านกาแฟต่างๆ 
 
5.พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง
 

การลงทุน 10% ของกำไรเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ หรือปรับปรุงบริการหลังการขาย สามารถช่วย เพิ่มคะแนนความพึงพอใจลูกค้า (Customer Satisfaction Score) ได้ถึง 15-20% และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของเราไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนที่ร้านชานมไข่มุกหรือเครื่องดื่มแบรนด์ดังหลายแห่งออกเมนูใหม่ๆ อยู่เสมอ
 
6.กลยุทธ์การตลาดแบบกองโจร (Guerrilla Marketing)
 

ในเมื่อคู่แข่งเยอะก็ต้องทำให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจของเราให้ได้มากที่สุด การเปิดร้านโดยไม่วิ่งเข้าหาลูกค้าเป็นความเสี่ยงในการเพิ่มยอดขายไม่ได้ตามเป้า แม้จะเป็นวิธีที่ดูล้าหลังแต่ การตลาดแบบกองโจร ก็ยังใช้ได้เช่นการแจกใบปลิว การมีทีมเซลล์โทรตรงเข้าหาลูกค้า หรือการโปรโมทธุรกิจผ่านรถประชาสัมพันธ์ไปตามตลาดต่างๆ
 
7.เน้น Speed & Convenience

คือเร็วและง่าย เพราะบางครั้งสิ่งนี้มีค่าเหนือกว่าคุณภาพและเป็นพฤติกรรมของลูกค้าในยุคนี้ มีตัวเลขน่าสนใจระบุว่า 53% ของคนเลิกซื้อเพราะให้เหตุผลว่า “รอนานเกินไป” หลายแบรนด์จึงเร่งใช้ Speed & Convenience เพื่อเพิ่มลูกค้ายกตัวอย่างเช่น GrabMart ใช้กลยุทธ์ “ส่งใน 30 นาที” ที่ทำให้มียอดสั่งเพิ่มขึ้นเยอะมากตามเมืองใหญ่ๆ
 
8. สร้าง Personalized Offer
 

หรือประสบการณ์เฉพาะตัวให้กับลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษ มัดใจให้กลายเป็นลูกค้าประจำในระยะยาว โดยธุรกิจที่ทำ Personalization ได้ ยอดขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10-15% ยกตัวอย่างเช่น Shopee ส่งคูปอง “ลดเพิ่ม 100 บ.” เฉพาะคนที่กดใส่ตะกร้าแล้วไม่จ่าย
 
9. Monitor คู่แข่ง + ปรับตัวเร็ว
 

ใช้เครื่องมือเช่น Social Listening / Google Trends ดูว่าคู่แข่งทำอะไร ซึ่งธุรกิจที่ปรับตัวตามเทรนด์ทันภายใน 6 เดือนแรก มีโอกาสโตเร็วกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ตัวอย่าง เช่น TikTok ร้านอาหารที่เข้าเร็วช่วงปี 2020 กลายเป็นไวรัล ยอดขายโตแบบก้าวกระโดด
 
10.ทำ Content Marketing ที่เน้นให้ความรู้
 

เป็นอีกรูปแบบการทำตลาดที่เจาะกลุ่มลูกค้ายุคนี้ได้ดีไม่ใช่แค่การขายของแต่มีคลิปที่สอนให้ลูกค้าได้ความรู้เช่นถ้าเป็นร้านอาหารก็อาจสอนเรื่องการทำเมนูอร่อยบางรายการที่มีในร้าน นอกจากเป็นการโปรโมทเมนูและร้านในตัวเองยังทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจ มีความมั่นใจในร้านค้านี้มากขึ้น โอกาสเพิ่มลูกค้าใหม่ได้
 
ปัจจุบันคู่แข่งเยอะ ปัญหาก็แยะ การทำธุรกิจเพื่อเอาตัวรอดถ้าสู้กันที่ “ราคา” อย่างเดียวสุดท้ายก็อาจไม่รอด ดังนั้นต้องเน้นที่ความแตกต่าง + ประสบการณ์ + ความเร็ว + ความสัมพันธ์กับลูกค้า จะช่วยเพิ่มยอดขายได้ซึ่งแต่ละธุรกิจก็ต้องใช้หลายกลยุทธ์การตลาดเข้ามาผสมผสานกัน สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดเรียนรู้และปรับตัว เพราะในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้ที่พร้อมปรับตัวเท่านั้นที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สร้างรายได้จาก กระเบื้องยางSPC วัสดุปูพื้นยอดนิย..
517
ประกาศเซ้ง! แบรนด์แฟรนไชส์จีนหมดแรง แซงไทยไม่ไหว
437
ถอดรหัส Santa Fe Steak รีแบรนด์แล้วยังเหนื่อย?
430
สงครามเย็น จักรวาลชานมไข่มุก ใครจะอยู่ใครจะไป
405
รวมเทคนิค “ดิ้นสู้” วิกฤติร้านอาหารปี 2568 ทำยัง..
387
“Gap Model” ร้านค้าทำดีทุกอย่าง แต่ทำไมลูกค้าไม..
386
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด