บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
269
4 นาที
25 ธันวาคม 2568
วางแผน? เกษียณทุกบริบท จุดจบทุกกรณี
 

คำว่า “เกษียณ” เรามักนึกถึงภาพคนวัย 60 ที่ออกจากงานราชการหรือบริษัท แล้วไปเลี้ยงหลาน ปลูกผัก 
 
อยู่บ้านในต่างจังหวัด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เกษียณ” (Retirement) หมายถึง ช่วงชีวิตที่บุคคลหนึ่งเลิกพึ่งพารายได้จากการทำงานหลักเป็นหลัก และเริ่มใช้ชีวิตโดยมีแหล่งเงินจากที่อื่นแทน เช่น
  • เงินสะสมส่วนตัว (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, LTF/RMF/SSF, ประกันชีวิตแบบบำนาญ)
  • เงินจากรัฐ (บำนาญข้าราชการ, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, ประกันสังคมมาตรา 33/39/40)
  • รายได้จากการลงทุน (หุ้น ปันผล ค่าเช่าอสังหาฯ)
  • การหารายได้จากประสบการณ์ที่มีเช่น Freelance, ที่ปรึกษา, ธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็ก
และเท่าที่ผ่านมาก็มีคนพูดถึง “การวางแผนก่อนเกษียณ” กันเยอะมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของแผนระยะยาวที่ทุกคนควรต้องเตรียมเอาไว้ ไม่ว่าเราจะทำอาชีพไหน จะเป็นคนรับจ้างมีรายได้แบบรายวัน หรือคนทำงานประจำที่มีเงินเดือน หรือจะเป็นเจ้าของธุรกิจใดๆก็ตาม ทุกคนควรต้องมีเวลาที่จะ “เกษียณ” 
 
Timeline ของ “การเกษียณ” ในเมืองไทย
 

เชื่อหรือไม่ว่าก่อนปี 2475 ตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีระบบเกษียณที่เป็นทางการ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เมื่อแก่เฒ่า หรือพระราชานุญาตให้ออกจากราชการ จะได้ “บำเหน็จพิเศษ” เป็นเงินก้อน หรือได้ “เบี้ยหวัด” (เงินเลี้ยงชีพรายปี) ตามพระราชอัธยาศัย และประเทศไทยเริ่มมีระบบบำเหน็จหลังเปลี่ยนการปกครองในปี 2475 
  • ปี 2476 ออก พ.ร.บ.บำเหน็จข้าราชการ โดยกำหนดให้ข้าราชการที่รับราชการครบ 25 ปี หรืออายุ 50 ปี จะได้ “บำเหน็จ” เป็นเงินก้อนเดียว (ยังไม่มีบำนาญรายเดือน)
  • 15 มิถุนายน 2494 เป็นครั้งแรกที่ข้าราชการได้รับ “เงินบำนาญรายเดือน” ตลอดชีวิต และบังคับอายุเกษียณที่ 60 ปี
  • ปี 2539 เกิด “ประกันสังคม” (มาตรา 33) สำหรับพนักงานเอกชน พนักงานบริษัทเอกชนที่จ่ายประกันสังคมครบ 180 เดือน (15 ปี) ได้รับ “บำนาญชราภาพ” รายเดือนตลอดชีวิตเมื่ออายุ 55 ปี ถ้าจ่ายไม่ถึง 15 ปี ได้บำเหน็จก้อนเดียว
  • ปี 2554 เกิด “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ที่ถือเป็นบำนาญประชาชน เริ่มต้น 600 บาท/เดือน และปรับตามอายุ ปัจจุบัน 600–1,000 บาท โดยในปี 2568 มีผู้ได้รับกว่า 12 ล้านคน
ข้อมูลที่น่าสนใจยังระบุอีกว่าปัจจุบันปี 2568 คนไทยกว่า 13 ล้านคนเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่มีเพียงประมาณ 3.5-4 ล้านคนเท่านั้นที่มี “บำนาญที่เพียงพอเลี้ยงชีพ” คือคนที่เป็นข้าราชการเก่า หรือคนที่อยู่ในระบบประกันสังคม ส่วนที่เหลืออีกกว่า 9 ล้านคน ต้องพึ่งเบี้ยยังชีพ 600-1,000 บาท + เงินเก็บส่วนตัว หรือลูกหลานเลี้ยงดู

เงินเกษียณที่คนไทยได้รับ “น้อยเกินไป” ไม่พอใช้
 

คนไทยจำนวนมาก รายได้จากระบบบำนาญ/ประกันสังคมอย่างเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ ต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบายและมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ในกลุ่มข้าราชการจะได้รับเงินบำนาญรายเดือนตลอดชีพ โดยคำนวณจากอายุราชการและเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย แต่ไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย หรือรับเป็น เงินบำเหน็จ ก้อนเดียว แต่จะมีข้อดีตรงที่ได้สวัสดิการรักษาพยาบาล รวมถึงมีรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600 – 1,000 บาท (ตามช่วงอายุ)
 
ในกลุ่มที่น่าจะสาหัสกว่าคือลูกจ้างเอกชนที่จะได้รับบำนาญชราภาพประกันสังคม มาตรา 33 หากส่งเงินสมทบ ครบ 15 ปี (180 เดือน) จะได้รับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ฐานสูงสุดที่ใช้คำนวณคือ 15,000 บาท) และเพิ่มอีก 1.5% ต่อปีที่ส่งเกิน 15 ปี
 
ยกตัวอย่างเช่น หากส่งครบ 15 ปี และมีค่าจ้างเฉลี่ย 15,000 บาท จะได้บำนาญประมาณ 3,000 บาท/เดือน
 
หรือหากส่ง 25 ปี (เกิน 10 ปี) จะได้บำนาญ 20% + (1.5% x 10 ปี) = 35% ของ 15,000 บาท คือประมาณ 5,250 บาท/เดือน รวมกับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (ตามช่วงอายุ) จะสังเกตว่ารายได้ที่รับหลังเกษียณเหล่านี้ยังน้อยถ้าเทียบกับ ค่าใช้จ่ายจำเป็นพื้นฐานในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5,000 - 10,000 บาท ขึ้นไป
 
เทคนิคการวางแผน “ก่อนเกษียณ” ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี!
 
การกำหนดอายุ “เกษียณ” เราอาจกำหนดได้เองโดยไม่เกี่ยวข้องกับ “ระบบเกษียณ” ที่ภาครัฐกำหนด เช่นบางคนทำธุรกิจตัวเอง แต่คิดว่าจะเกษียณตัวเองตอนอายุ 50 และไม่ว่าเราจะเริ่มเกษียณตอนไหน ก็ควรวางแผนไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ ยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี
 
ประเมินค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ
 

ถ้ากำหนดว่าจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี และคาดว่าจะมีอายุยืนถึง 85 ปี แสดงว่าเป็นเวลารวม 25 ปี ที่ต้องใช้เงิน
 
จากนั้นค่อยกำหนดระดับค่าใช้จ่ายที่ต้องการหลังเกษียณต่อเดือน:
  • ระดับพื้นฐาน: 10,000 - 15,000 บาท/เดือน
  • ระดับปานกลาง: 20,000 - 30,000 บาท/เดือน
  • ระดับสบาย: 40,000 บาทขึ้นไป/เดือน
การประเมินดังกล่าวนี้ต้องนำเงินเฟ้อมาคิดด้วย โดยทั่วไปประมาณ 3% ต่อปี เพื่อให้ทราบว่าเงินที่ต้องการในวันเกษียณจะมีมูลค่าเท่าไรในปัจจุบัน ยกตัวอย่างการคำนวณ เช่น
 
หากต้องการใช้ชีวิตแบบสบาย 30,000 บาทต่อเดือน เมื่อเกษียณในอีก 20 ปีข้างหน้า อาจจะต้องใช้เงินประมาณ 54,000 บาท ต่อเดือน เพื่อคงกำลังซื้อเดิม (รวมอัตราเงินเฟ้อ) นั่นหมายความว่าต้องมีเงินรวมตั้งแต่หลังเกษียณไปจนถึงคาดว่าจะเสียชีวิต คิดเป็นเงิน 54,000 บาท/เดือน x 12 เดือน x 25 ปี = 16.2 ล้านบาท
 
เราจะเห็นว่าตัวเลขที่คำนวณนี้ค่อนข้างสูงสำหรับการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้แน่ จึงต้องมีการวางแผนที่จะหาเงินก้อนนี้ตามหลักการเศรษฐศาสตร์ก็แนะนำให้เราเก็บเงินออมเอาไปลงทุนหุ้น / กองทุน / พันธบัตร แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนอีกเช่นกันที่จะเอาเงินไปเก็บออมได้ขนาดนั้น 
 
ลำพังแค่กินแต่ละเดือนยังยากแสนยาก จึงเป็นที่มาของตัวเลขน่าตกใจที่ระบุว่า 78% ของคนไทยมีเงินออมไม่ถึง 6 เดือนของค่าใช้จ่าย และมีคนไทยเพียง 16% เท่านั้น ที่วางแผนเกษียณและทำได้จริง สาเหตุหลักก็คือ 
  • เริ่มออมช้าเกินไป
  • ออมน้อยเกินไป ซึ่งควรอยู่ที่ประมาณ 15-20% ของรายได้
  • การประเมินค่าใช้จ่ายหลังเกษียณต่ำเกินไป
รูปแบบการเกษียณ ที่คนไทยควรรู้
 

แม้จะมีการวางแผนด้านเงินทุนสำหรับใช้หลังเกษียณ แต่คำว่า “เกษียณ” ของคนในปัจจุบันไม่ได้หมายถึงการหยุดทำงานอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้จากการที่ภาครัฐเองหรือภาคเอกชนก็มีแนวคิดในการ “เกษียณ” ทั้งการขยายเวลาหรือการปรับรูปแบบการเกษียณให้เหมาะสมตามยุคสมัย โดยมีหลายรูปแบบที่น่าสนใจ ได้แก่
 
1. "เกษียณแบบกึ่งหนึ่ง" (Semi-Retirement)
 
คือ แนวคิดในการเปลี่ยนผ่านจากการทำงานเต็มเวลา (Full-Time) ไปสู่การลดจำนวนชั่วโมงการทำงานลงอย่างมาก เช่น ทำงานเพียง 1-3 วันต่อสัปดาห์ หรือ 4-6 เดือนต่อปี มีเป้าหมายสำคัญคือเพื่อลดความเสี่ยงด้านการเงินวยให้เงินออมเพื่อเกษียณก้อนหลัก ถูกใช้ช้าลงทำให้ลดความเสี่ยงที่เงินจะหมดก่อนอายุขัย และการเกษียณแบบนี้ก็ยังมีข้อดีที่ยังได้ทำงานเบา ๆ หรือทำในสิ่งที่รัก ช่วยให้สมองและร่างกายยังคงมีการใช้งาน ทำให้ผู้เกษียณรู้สึกมีคุณค่าและไม่เหงา
 
2. "เกษียณหลายรอบ" (Multiple Retirements)
 
หรือที่บางครั้งเรียกว่า Gap Years ในวัยทำงาน คือ แนวคิดในการทำงานและเกษียณอายุสลับกันไปมาตลอดช่วงชีวิตการทำงาน แทนที่จะทำงานต่อเนื่องยาวนาน 30-40 ปี แล้วเกษียณครั้งเดียวเมื่ออายุ 60 ปี คนกลุ่มนี้จะวางแผนหยุดพักการทำงานเต็มเวลาเป็นระยะ ๆ เช่น ทำงาน 10 ปีแล้วหยุดพัก (เกษียณรอบที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี จากนั้นกลับไปทำงาน 10 ปี แล้วเกษียณรอบที่ 2 เป็นเวลาอีก 1-2 ปี เป็นต้น 
 
ซึ่งเราอาจไม่เห็นการเกษียณแบบนี้ในเมืองไทยมากนัก แต่ในยุโรป เรียกว่าเป็นทางเลือกการเกษียณที่ยืดหยุ่น เช่น สหราชอาณาจักร , ฝรั่งเศส , และกลุ่มประเทศนอร์ดิก พนักงานมีสิทธิหรือมีข้อตกลงในการขอ "Sabbatical" ก็คือการลาพักผ่อนหรือศึกษาต่อ ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี โดยอาจได้รับค่าจ้างบางส่วนหรือไม่มีค่าจ้างตามเงื่อนไขที่ตกลง
 
3.การเกษียณตามสถานภาพชีวิต
 
เป็นการเกษียณที่เอาบทบาทและหน้าที่มาเป็นตัวตั้ง ซึ่งแต่ละสถานภาพชีวิตก็อาจมีการกำหนดอายุเกษียณตัวเองที่แตกต่างกันไปเช่น
  • คนแต่งงาน + มีลูก มักเกษียณช้าที่สุดประมาณ 60-65 ปี เนื่องจากต้องแบกรับค่าใช้จ่ายหลายด้าน แถมรายได้หลังเกษียณส่วนหนึ่งยังถูกนำไปใช้กับ “บุตรหลาน” อย่างต่อเนื่อง 
  • คนแต่งงาน + ไม่มีลูก กลุ่มนี้ถือว่ามีอิสระภาพทางการเงินสูงยิ่งถ้ามีการวางแผนที่ดี มักเกษียณตัวเองได้เร็ว ประมาณ 45-50 ปีก็เกษียณได้ แถมยังมีเงินเก็บมาก ไม่มีภาระใดๆ มากอาจใช้ชีวิตบั้นปลายได้ตามที่ตัวเองต้องการ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนการเงินในช่วงเริ่มต้นด้วย
  • กลุ่มคนโสด ส่วนใหญ่จะมีการวางแผนเกษียณที่ค่อนข้างชัดเจน เพราะรู้ดีว่าบั้นปลายชีวิตตัวเองก็จะไม่มีลูกหลาน จึงต้องหาเงินทุนเพื่อดูแลตัวเองเมื่ออายุมากขึ้น 
นโยบายเกษียณอายุ 45 ปีของภาคเอกชน และ 65 ปีของภาครัฐ
 

 
เป็นกระแสที่ฮือฮาในช่วงหนึ่งจากโครงการเกษียณก่อน เกษมสุข" ของธนาคารกสิกรไทย ในปี 2568 ที่เปิดรับสมัครพนักงานอายุ 45-59 ปีให้เกษียณก่อนกำหนด โดยให้เงินชดเชยและเงินพิเศษสูงสุด 12 เดือน  
 
โครงการนี้ไม่ใช่กรณีแรก แต่เป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ "Early Retire" ที่หลายองค์กรเอกชนนำมาใช้ เพื่อปรับโครงสร้างพนักงาน ลดต้นทุน และรับมือเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI ที่ทำให้ตำแหน่งงานบางประเภทหดตัว หรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ก็มีโครงการที่คล้ายกันสำหรับพนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่า 10 ปี
 
โครงการเหล่านี้ในมุมหนึ่งอาจเหมือนจะเป็น ของขวัญ สำหรับมนุษย์เงินเดือนวัยกลางคนที่เหนื่อยล้าและไม่อยากทำงาน แต่ในความเป็นจริง มันคือดาบสองคม เพราะอาจทำให้ประสบกับปัญหาทางการเงินเนื่องจากมีช่วงระยะเวลาหลังเกษียณที่ยาวนานขึ้น และจะกลายเป็นปัญหาด้านคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นในอนาคตได้
 
ใกล้เคียงกันนโยบายเกษียณ 45 ปี ของเอกชนภาครัฐเองได้เสนอแนวคิดขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 65 ปี ในเดือนตุลาคม 2568 โดยย้ำว่าเป็น "แนวคิดสมัครใจ" เพื่อสอดคล้องกับเทรนด์โลก เช่น ญี่ปุ่นที่ขยายถึง 70 ปี ออสเตรเลียกำหนดรับบำนาญที่ 67 ปี และเกาหลีใต้ขยายจาก 55 เป็น 60 ปี และก็มีนักวิชาการออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ 
 
โดยชี้ว่าอายุเกษียณ 60 ปีที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2494 ล้าสมัยเกินไป เมื่ออายุขัยเพิ่มจาก 60 เป็น 78 ปี และผู้สูงอายุ 60-69 ปี ส่วนใหญ่ยังมีศักยภาพทำงานได้ หากปรับนโยบายให้ยืดหยุ่น เช่น ทำงานนอกเวลา หรือปรับสภาพแวดล้อมปลอดภัย
 
เนเธอร์แลนด์ ประเทศที่ระบบเกษียณที่ดีสุดในโลก
 

ภาพจาก https://app.envato.com

Top 3 ของประเทศที่ระบบเกษียณดีที่สุดในโลก คือเนเธอร์แลนด์ , ไอซ์แลนด์ และเดนมาร์ก โดยเนเธอร์แลนด์กำหนดอายุเกษียณกำหนดไว้ที่ 67 ปี แม้เงินเดือนจะหายไป แต่รายได้ไม่หายเพราะจะได้เงินเกษียณประมาณ 70-80% ของเงินเดือนเดิมทุกเดือน ตลอดชีวิต และเนเธอร์แลนด์ยังเป็นรัฐสวัสดิการที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ใช่ว่าจะได้เงินก้อนนี้กันมาง่ายๆ ต้องผ่านการเก็บออมอย่างมีวินนัย 
 
ซึ่งก็เป็นภาครัฐอีกเช่นกันที่กำหนดกฏเกณฑ์ไว้อย่างเข้มงวดซึ่งการหักเงินเดือน + บริษัทสมทบ จากนั้นต้องมีการนำไปลงทุนในกองทุนใหญ่ๆ เพื่อให้เงินที่เก็บสะสมไว้โตขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีกฎเหล็กว่าใครที่บริหารกองทุนพลาดจะมีโทษหนักมาก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกองทุนบำเหน็จบำนาญของเนเธอร์แลนด์จึงมีเงินทุนสะสมมหาศาลและใหญ่ที่สุดในโลกถ้าเทียบต่อหัวต่อคน
 
หรือเอาแบบใกล้ตัวที่สุดคือระบบเกษียณของสิงคโปร์ เป็นประเทศเดียวในเอเชียที่พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชียในปี 2025 ด้วยระบบที่ชื่อว่า CPF (Central Provident Fund) ระบบนี้ไม่ใช่ “บำนาญข้าราชการ” หรือ “ประกันสังคมแบบไทย” แต่เป็น “กองทุนบังคับออมส่วนตัว” ที่รัฐออกแบบให้ทุกคนรวยตอนแก่ โดยไม่ต้องหวังพึ่งลูกหลาน หลักการง่ายๆของ CPF คือ
  1. บังคับออมทันทีตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน 
  2. นายจ้างต้องช่วยออกเงินให้ด้วย
  3. รัฐรับประกันดอกเบี้ยสูง + จ่ายเงินเกษียณให้ตลอดชีวิต
โดยหักจากลูกจ้าง 20% นายจ้างสมทบเพิ่ม 17% ทำให้ทุกเดือนจะมีเงินเข้ากองทุน CPF ที่จะได้ดอกเบี้ยแบบรัฐบาลรับประกันที่ 4-5% ต่อปี สะสมไว้เรื่อยๆ จนถึงเกษียณ ระหว่างนั้นเงินอีกส่วนจะกระจายไปที่ส่วนของค่ารักษาพยาบาลเอาไว้เป็นสวัสดิการดูแลประชากรในยามเจ็บป่วย 
 
ที่สำคัญสุดคือพออายุเกษียณระบบรัฐจะจ่ายเงินให้ทุกเดือนยกตัวอย่างว่าอายุ 55 ปีมีเงินในกองทุนถ้าคิดเป็นเงินไทย 18 ล้านบาท จะได้เงินเกษียณเดือนละ 50,000 บาท แถมยังมีสวัสดิการในส่วนค่ารักษาพยาลที่รัฐช่วยจ่าย ทำให้คนเกษียณของสิงคโปร์ไม่ต้องทำงาน มีเวลาเอาเงินที่ภาครัฐสะสมไว้นำไปใช้ได้อย่างมีความสุข
 
ถ้าเทียบกับประเทศไทย “ระบบเกษียณ” เรายังถือว่าล้าหลังมาก ปัจจุบันคนที่จะเกษียณตัวเองหวังพึ่งภาครัฐไม่ได้ เราจึงได้เห็นคนส่วนใหญ่ที่ออกมาพูดถึงชีวิตหลังเกษียณของตัวเองว่ามีการเตรียมตัว – เตรียมเงิน ไว้อย่างไร 
 
ซึ่งทั้งหมดก็เป็นความพยายามส่วนตัว ถ้าเป็นคนที่ทำงานเก่ง หาเงินเก่ง มีระบบบริหารจัดการดีมีการวางแผนดี สามารถหาเงินได้เยอะๆ ก็สามารถวางแผนการเก็บเพื่อให้สุขสบายในช่วงวัยหลังเกษียณ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปหาเช้ากินค่ำ เงินเดือนไม่พอใช้ 
 
บางทีชีวิตอาจไม่มีคำว่าเกษียณ เพราะว่าหากหยุดทำงานเมื่อไหร่ก็อดตายเมื่อนั้น และนี่คือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากสังคมไทยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
641
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
586
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
534
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
478
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
462
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
455
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด