บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    การสร้างแบรนด์ สร้างตราสินค้า
3.3K
2 นาที
27 ตุลาคม 2559
“Co-Branding” จับมือกันรุ่ง! มุ่งสู่กำไร

การทำธุรกิจสมัยนี้อย่าคิดว่าอยู่เพียงลำพังได้โดยไม่ต้องสนใจใคร แม้ว่าแบรนด์ของเรานั้นจะแข็งแกร่งปานใดก็ตามแต่เชื่อหรือไม่ว่าเราก็ยังมีจุดอ่อนและอ่อนมากพอที่จะให้คู่แข่งเจาะทะลวงเราเข้ามา

ด้วยเหตุนี้การตลาดยุคใหม่จึงหันมาใช้เทคนิคความร่วมมือที่เรียกกันว่า Co-Branding ซึ่งก็คล้ายๆกับการฟิวก์ชั่นโดยเหตุผลสำคัญคือเพื่อปกปิดส่วนอ่อนของกันและกันและร่วมมือรวมพลังกันสร้างกำไรให้เกิดขึ้นกับแบรนด์ตัวเองได้มากที่สุด
 
แต่ทั้งนี้ใช่ว่าจู่ๆนึกอยากจะจับมือกับใครก็เดินเข้าไปได้เลยสิ่งสำคัญเราต้องรู้จักเลือกสินค้าให้มีความเหมาะสมหรือสามารถเกื้อกูลกับแบรนด์ของเราเองได้ดีที่สุด

แน่นอนว่ากลยุทธ์แบบ Co-Branding  นี้มีพลังทางการตลาดมากแต่ก็มีข้อศึกษาที่น่าสนใจมากเช่นกันและเพื่อการนั้น www.ThaiFranchiseCenter.com  ขอไข้ข้อข้องใจที่ว่านี้ ดีไม่ดี กลยุทธ์นี้มีพลังแค่ไหน ลองมาศึกษาเทคนิคนี้กันดูละกันครับ
 
Co-Branding มีถึง 4 รูปแบบนะรู้ยัง!
 
รูปแบบของการ Co-Branding คือการดึงจุดแข็งของแบรนด์อื่นมาใช้ปกปิดจุดด้อยของแบรนด์ตัวเราเองอธิบายง่ายๆว่าถ้าเราไม่เก่งการตลาดแต่ว่ามีสินค้าดีก็อาจร่วมมือกับอีกแบรนด์ที่มีการตลาดแข็งแกร่งแต่แบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องสร้างประโยชน์ด้วยกันได้ทั้งสองฝ่ายความร่วมมือแบบ Co-Branding จึงจะเรียกว่าสำเร็จอย่างเต็มรูปแบบทั้งนี้ถ้าเราวิเคราะห์ให้ดีจะพบว่าการ Co-Branding ที่ว่านี้มีด้วยกันถึง 4 รูปแบบทีเดียว
 
1. Ingredient Co-branding 
 
คือการใช้ส่วนประกอบของแบรนด์หนึ่ง ในการร่วมผลิตสินค้ากับอีกแบรนด์หนึ่ง และใช้ตราสินค้าร่วมกัน เช่น Dell computer กับ Intel processors โดยตัวคอมพิวเตอร์เป็นยี่ห้อ Dell แต่ชิพประมวลผลเป็นของ Intel เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการนำส่วนประกอบของแบรนด์อื่นๆ มาผสมกับแบรนด์ตัวเอง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้น

2. Joint Venture Co-branding 
 
คือการร่วมมือกันระหว่างบริษัทตั้งแต่ 2 บริษัท หรือมากกว่านั้น โดยกำหนดกลยุทธ์ร่วมกัน และมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน เช่น การวางแผนการตลาดร่วมกันของสายการบินไทย กับซิตี้แบงค์ เพื่อให้สิทธิพิเศษสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิตสะสมคะแนนแลกไมล์ในการใช้บริการสายการบินไทย เป็นต้น
 
3. Same –company Co-branding 
 
หมายถึงภายในบริษัทเดียวกัน ที่มีผลิตภัณฑ์หลายๆ ตัว ต้องการที่จะทำรายการส่งเสริมการขายร่วมกัน เช่น สินค้าในเครือ P&G จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายให้กับห้างสรรพสินค้า ทำรายการซื้อสินค้าในเครือ P&G ครบตามจำนวนจะได้รับของสมนาคุณ หรือ เห็นชัดๆอย่างมหกรรมลดราคาของ Unilever ไชโย SALE เป็นต้น
 
4. Multiple Sponsor Co-branding

คือ การใช้ความร่วมมือกันจากหลายๆ แบรนด์เพื่อสร้างเครือข่าย และผนึกกำลังช่วยส่งเสริมกันระหว่างแบรนด์ โดยอาศัยความชำนาญที่แตกต่างกันได้มาพัฒนา เช่น การจับมือกัน 3ฝ่าย ระหว่าง Jet Airway + VISA + ICICI Bank เป็นต้น

แต่ทั้งนี้การจะเลือกใช้การ Co-branding แบบไหนก็อยู่ที่ว่าเราต้องการเน้นทำการตลาดแบบใดซึ่งส่วนใหญ่ก็มี 4 ช่องทางใหญ่ๆที่น่าสนใจคือ
 
1. เน้นการเข้าถึงส่วนแบ่งทางการตลาด 
 
โดยการเลือกหุ้นส่วนที่ช่วยเพิ่มศักยภาพต่อแก่นของแบรนด์ตัวเองให้ได้รับประโยชน์สูงสุดเหมือนที่เรายกตัวอย่างของการร่วมมือระหว่าง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ Dell เลือกร่วมมือกับ Intel ถือเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กันและกัน

หรืออย่างบริษัทขนมขบเคี้ยว Frito-Lay ได้จับมือกับน้ำอัดลมเปิดตัว ชีโตสรสเมาเทนดิว (Mountain Dew Cheetos) และชีโตสรถเป๊ปซี่ เป็นสแน็กที่น่าสนใจไม่น้อยและสามารถกอบโกยยอดขายได้อย่างง่ายดาย เป็นต้น
 
2. เน้นการเข้าถึงช่องทางการตลาดใหม่ 
 
สำหรับแบรนด์ที่คิดว่าแข็งแกร่งมากพอแต่ต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ก็จะเกิดความร่วมมือกันในลักษณะนี้ ตัวอย่างเช่น McDonald’s McFlurry กับ Kitkat ที่รวมมือกันพัฒนาสินค้าในรสชาติใหม่ และยังสามารถปรับช่วงเวลาในการซื้อสินค้าของทั้งสองประเภทได้อย่างลงตัว หรือแม้แต่ Adidas จับมือกับยาง Good Year ออกรองเท้ารุ่นพิเศษที่ใช้ยางจากล้อรถ Good Year เป็นต้น
 
3. เน้นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image)
 
ในกรณียกตัวอย่างให้เห็นภาพและเข้าใจง่ายเช่นการให้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ผู้ค้าออนไลน์ในอินเทอร์เน็ตมักจะประสบปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือในการชำระเงินสินค้า

ดังนั้น การร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำอย่าง Paypal ในด้านการชำระสินค้าก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ตัวเอง ซึ่งมีผลต่อลูกค้าได้เชื่อมั่นในสินค้าและบริการ และเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์ตัวเองมากขึ้น

4. เน้นการพัฒนาต่อยอด 
 
ถ้าต้องการเน้นในเรื่องนี้เราก็ต้องเลือกแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งด้านภาพลักษณ์ และมีศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ด้วย ตัวอย่างเช่น Credit card ร่วมมือกับ MasterCard และ Visa สร้างเครือข่ายขยายตลาดสินค้าและการบริการไปยังสถาบันการศึกษา

หน่วยงานการกุศลต่างๆ ผู้ให้บริการด้านรถยนต์ ปั้มน้ำมัน สายการบิน ที่พัก และร้านค้าต่างๆ โดยผู้ใช้บริการบัตรเครดิตสามารถใช้ Reward card ในการรับสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งกลยุทธ์นี้จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นจำนวนมากด้วย
 
อย่างไรก็ดีใช่ว่ากลยุทธ์ Co-Branding จะดีไปซะทั้งหมดปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของกลยุทธ์แบบนี้คือความเป็นตัวของตัวเองในแต่ละแบรนด์ที่เจ้าของแบรนด์ต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์นั้นเอาไว้ให้ติดตลาดรวมถึงกรณีที่เกิดแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งได้รับผลกระทบ ก็จะส่งผลไปยังอีกแบรนด์เช่นกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องประเมินถึงข้อดีและข้อเสียของการรวมแบรนด์ว่าคุ้มค่ากว่าการสร้างแบรนด์เดียวหรือไม่ด้วย
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
606
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
499
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
475
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
419
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
406
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
405
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด