บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
5.3K
2 นาที
13 ธันวาคม 2559
5 เทรนด์ดึงลูกค้าสร้างกำไรให้ธุรกิจในปี 2017


 
เมื่อเรากำลังจะก้าวข้ามปีเก่าสู่ปีใหม่ ต้องมีหลายสิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

ไม่เว้นแต่ในโลกของธุรกิจที่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นค่อนข้างรวดเร็วและจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องก้าวตามให้ทันโดยเฉพาะกับกระแสเทคโนโลยีที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่าคือเครื่องมือสำคัญที่มีผลต่อการสร้างสรรค์การตลาดเป็นอย่างมาก
 
www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่าในปี 2017 เป็นอีกปีหนึ่งที่เราไม่อาจทำการตลาดแบบเดิมๆได้อีกต่อไป การผนวกเอาสินค้ารวมกับเทคโนโลยีจะกลายเป็นเทรนด์ที่สร้างความน่าสนใจได้มาก

ซึ่งในต่างประเทศเองก็เริ่มดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้กันไปบ้างและนี่คือ 5 เทรนด์ในปี 2017 ที่คาดว่าจะมาแรงและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแวดวงธุรกิจได้อย่างดี
 
1.สร้างธุรกิจให้เหมือนจับต้องได้ (Virtual Experience Economy)


ภาพจาก goo.gl/4LkP8b

ในปี 2017 ถือเป็นยุคทองของโลกดิจิตอลโดยแท้โดยจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายจากยุคข้อมูลข่าวสารที่ Internet มีความสำคัญ สู่ยุคแห่งเศรษฐกิจประสบการณ์ (Experience Economy)

ยืนยันได้จากตลาดอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จะพาเราสู่ความจริงใน 3 รูปแบบคือเสมือนจริง (Virtual Reality -VR) ,ความจริงเสริม (Augmented Reality -AR) และความจริงผสมผสาน (Mixed Reality -MR) ที่กำลังเติบโตในจำนวนนี้อุปกรณ์ประเภทแรกจะเข้ามามีบทบาทและถูกนำมาใช้มากสุด

เพราะนอกจากจะสร้างความแปลกใหม่ทางธุรกิจและไม่ซับซ้อนเกินไปแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ต่างๆ แม้มีข้อจำกัดทางกายภาพก็ตาม

โดยความสำเร็จของแบรนด์ที่เข้าร่วม Trend นี้วัดกันตรงที่แบรนด์ไหนจะสามารถตอบสนองพฤติกรรมในส่วนลึกของผู้บริโภคได้มากกว่ากัน
 
ตัวอย่างของแบรนด์ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เช่นAlibaba เว็บไซต์ E-Commerce ยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนที่ให้นักช็อปชาวจีนสวมแว่น VR ซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า Mercy’s ที่อยู่ไกลออกไปถึง New York ได้อีกด้วย 
 
2.สร้างภาพลักษณ์ชูธุรกิจเป็นศูนย์กลางให้ทุกคนมีความเสมอภาคกัน(World Apart : Campaign)

ปัญหาหนึ่งในปีที่ผ่านๆมาคือความเหลื่อมล้ำของคุณภาพชีวิต ก่อให้เกิดทั้งปัญหารายได้ การก่อการร้าย และการแตกแยกในระดับองค์กรจำนวนมาก

ด้วยเหตุนี้แบรนด์ที่สร้างแคมเปญเพื่อเชื่อมประสานความแตกร้าวเหล่านี้จะเป็นเหมือนธุรกิจที่ทำให้โลกยุคใหม่มีความเท่าเทียมกัน แน่นอนว่าเป้าหมายสำคัญคือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแต่สิ่งสำคัญคือต้องเป็นการทำที่ออกมาจากความรู้สึกที่อยากแก้ปัญหาเหล่านั้นได้จริงๆ
 
ตัวอย่างของแบรนด์ที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้คือ Momondo เว็บไซต์จองบริการท่องเที่ยวของเดนมาร์ก ที่ออกแคมเปญชื่อ The DNA Journey โดยให้คนหลายเชื้อชาติเผยถึงความภูมิใจในประเทศตัวเองและประเทศที่ตนเองมีทัศนคติเชิงลบ

โดยหนังโฆษณาเรียกน้ำตาในตอนท้ายเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนไปท่องเที่ยวสืบหาที่มาของตนเองเรื่องนี้ กระแสตอบรับดีพอสมควร หลังเผยแพร่มา 6 เดือนมียอด View บน Youtube กว่า 12 ล้านครั้ง

3.สร้างธุรกิจที่สามารถทลายกำแพงอคติในโลกดิจิตอล(Incognito Individual)

ภาพจาก  goo.gl/LNbLAR

ปัจจุบันแบรนด์รวมถึงบรรดา Social Media รู้ใจผู้บริโภคมากขึ้นจนน่าตกใจ เบื้องหลังคือการนำข้อมูลส่วนตัวมาผ่านชุดคำสั่ง (Algorithm) สร้างเนื้อหาให้ “เป๊ะ” กับรสนิยม พิสูจน์ได้จากเพลงใน Playlist ของ Spotify ที่ป้อนให้ผู้ใช้ 40 ล้านคนทั่วโลกทุกวันจันทร์ ซึ่งการวางใจเทคโนโลยีมากเกินไป ทำให้เกิดการจัดกลุ่มผู้บริโภคแบบเหมารวม

บางครั้งการที่มีอคติต่อกันเช่นผู้หญิงอคติต่อผู้ชาย คนขาวอคติต่อคนดำ เมื่อพูดคุยกันก็ทำให้คลางแคลงใจต่อกัน จึงมีซอฟแวร์ ที่เน้นการแปลงเสียงให้คลุมเคลือเพื่อให้การพูดคุยดำเนินต่อไปได้ง่ายขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความรู้สึกสงสัยต่างๆเหล่านั้น
 
4.สร้างธุรกิจให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย(Capacity Capture)

ในปี 2017  ความคาดหวังของผู้บริโภคที่สูงขึ้นจะขยายสู่ประเด็นทางสิ่งแวดล้อมและพลังงานด้วย แบรนด์จึงต้องหา ต้องสร้างรูปแบบใหม่ในบริหารจัดการพลังงานให้ได้ประโยชน์สูงสุด ไปพร้อมกับการลดปริมาณขยะจากการอุปโภค บริโภคให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งผลกำไรควรมีความสำคัญรองลงมาจากการอนุรักษ์และทำให้ผู้บริโภคอิ่มเอมกับการทำความดีนั้นๆ
 
ตัวอย่างของแบรนด์ที่เริ่มดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้เช่น Nissanแบรนด์รถญี่ปุ่นที่ร่วมกับ Enel บริษัทไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของยุโรป ออกแคมเปญ Vehicle to Grid

 ด้วยการให้เจ้าของรถพลังงานไฟฟ้า 2 รุ่น คือ LEAF และ NV200 ในอังกฤษ จ่ายไฟฟ้าของเครื่องยนต์ที่เต็มแล้วแต่จอดทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้ให้กับโรงไฟฟ้าหรือสำหรับใช้ในตัวอาคารสำนักงานช่วงกลางวัน ชาร์จกลับมาให้ช่วงบ่ายก่อนขับกลับบ้าน และชาร์จอีกครั้งตอนกลางคืนที่ความต้องการใช้พลังงานน้อย โดยสิ่งที่เจ้าของรถจะได้ตอบแทนคือค่าไฟที่ถูกลงนั่นเอง

5.สร้างธุรกิจที่มีนวัตรกรรมทางเทคโนโลยีมากขึ้น (Big Brother Brands)

อุปกรณ์ที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence-AI) จะเริ่มมีบทบาทอย่างมากในปี 2017 จากาการวิจัยของ Tractrica บริษัทวิจัยข้อมูลตลาดสินค้าเทคโนโลยีในสหรัฐ

คาดว่าจำนวนผู้ใช้ Gadget ประเภทนี้ทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 390 ล้านคนในปี 2015 จะเพิ่มเป็น 1,800 ล้านคนเมื่อถึงปี 2021 โดยผู้บริโภคนิยมในอุปกรณ์เหล่านี้เพราะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้มากแน่นอนว่าแบรนด์ก็ต้องคำนึงการตลาดที่มองเห็นกระแสความต้องการเหล่านี้ไว้ด้วย
 
ตัวอย่างของแบรนด์ที่ดำเนินการในกลยุทธ์นี้เช่น Google ที่เปิดตัว Google Assistant ลำโพงที่เชื่อมต่อ Internet ผ่าน WIFIซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สั่งการกิจกรรมบน Internet เช่นตรวจ E-Mail ,Upload รูปภาพ ซื้อสินค้าออนไลน์

สอบถามข้อมูลหรือเปิดเพลงจาก List ใน Spotify ด้วยเสียง โดยเป็นไปได้ว่าในอนาคตอาจรวมไปถึงบอกให้ AI ปิด-เปิดเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านด้วย
 
จะเห็นได้ว่าเทรนด์ของการตลาดในปี 2017 เริ่มจะก้าวล้ำเข้าสู่เรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น การที่หลายคนเคยเห็นนวัตรกรรมต่างๆที่อยู่ในภาพยนต์ในปี 2017 นี้คาดว่าจะมีการพัฒนาอุปกรณ์เหล่านั้นออกมาใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น

ทั้งนี้สินค้าทั้งหลายนอกจากความคิดในการสร้างสรรค์คุณภาพสินค้าก็ควรจับเทรนด์การตลาดโลกดิจิตอลเหล่านี้ไว้รับรองว่าไม่ตกเทรนด์และจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์กำไรได้อย่างดีทีเดียว
 
ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/fLjJX3
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
641
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
588
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
534
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
479
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
462
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
455
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด