บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การบริหารจัดการองค์กร    สร้างความสมดุลของชีวิตกับการทำงาน
3.6K
2 นาที
30 มีนาคม 2560
3 วิธีเปลี่ยนความคิด สร้างนวัตกรรม ทำรายได้ให้ตัวเอง!

 
พลังของความคิดเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดธุรกิจ จงเชื่อในคำที่ว่ายิ่งแปลกและแตกต่างยิ่งมีรายได้ แม้ปัจจุบันเราจะมองว่าสินค้าและบริการที่มีนั้นแทบจะมีทุกอย่างที่ต้องการ การจะสร้างแบรนด์ใหม่สร้างสินค้าใหม่เป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าโอกาสเกิดขึ้นยาก แต่คำว่ายากไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้

เชื่อได้อีกเช่นกันว่าในอนาคตจะต้องมีสิ่งที่แปลกใหม่ยิ่งกว่านี้ปรากฏออกมา คำถามก็คือว่าแล้วความคิดเหล่านั้นมาได้อย่างไรในเมื่อเราตีความไปว่าการสร้างธุรกิจใหม่ด้วยความคิดสร้างสรรค์นั้นยากเหลือเกิน
 
www.ThaiFranchiseCenter.com มีคำตอบพร้อมตัวอย่างดีๆในการเปลี่ยนแปลงความคิดสู่การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆที่ทำให้เรามีแนวทางในการประกอบอาชีพมากขึ้นบางครั้งเรื่องที่เราคิดอาจจะไกลตัวเกินไปหรือยังไม่มีหลักคิดที่ดีพอลองมาดูวิธีคิด 3 ประการที่ทำให้แบรนด์ใหญ่ๆสร้างนวัตกรรมได้สำเร็จและเป็นสินค้าเป็นภูมิปัญญาที่สร้างรายได้มหาศาลให้ตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
1.Divergent Thinking 

ภาพจาก goo.gl/rsNX8Z

Divergent Thinking หมายถึง การคิดถึงสิ่งใหม่ๆ หรือการสำรวจหา (exploration) ความน่าจะเป็นต่างๆ ขึ้นมาตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดในทฤษฏีข้อนี้คือบริษัท Bell ที่คิดค้นและประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ขึ้นได้เป็นเจ้าแรก แต่กลายเป็น Sony ที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ ขายเป็นวิทยุทรานซิสเตอร์จนขายดิบขายดีแทน หรือกรณีบริษัท EMI ที่คิดค้นเครื่องเอ็กซเรย์ขึ้นมา แต่กลายเป็น General Electric (GE) ที่นำมาใช้ประโยชน์ทางการตลาดจนสำเร็จ
 
2.Convergent Thinking  
 
ภาพจาก goo.gl/7zdwr8

Convergent Thinking หมายถึง การคิดว่าจะทำอย่างไรให้ไอเดียที่แตกต่างหลากหลายนั้นสามารถมาบรรจบเป็นคอนเซปต์เดียวกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และหลายครั้งต้องบอกว่ายากมากๆ เช่นกัน เพราะมันจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ไอเดียหรือความคิดแปลกใหม่ที่ได้มานั้นไม่หยุดอยู่แค่ไอเดีย แต่สามารถต่อยอดเป็นรูปธรรมและใช้ได้จริง 
 
โดยตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของบริษัท 3M โดย Spencer Silver นักวิจัยของบริษัทตั้งใจจะผลิตกาวติดที่มีความเหนียวเป็นพิเศษ แต่ล้มเหลว แทนที่จะได้กาวเหนียวกลับได้กาวไม่เหนียวแทน จนกระทั่งผ่านมาหลายปี Arthur Fry เพื่อนของ Silver ก็บังเอิญพบวิธีสร้างประโยชน์จากกาวไม่เหนียวนี้ขึ้นมาได้ ซึ่งเขาเผอิญคิดได้ระหว่างที่กำลังหงุดหงิดกับกระดาษที่ใช้คั่นหน้าหนังสือ ที่พอคั่นทีไรก็หลุดทุกที

เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้เขานึกถึงกาวไม่เหนียวของ Silver เลยปิ๊งไอเดียเอากาวไม่เหนียวมาบวกกับไอเดียกระดาษของเขา ออกมาเป็นกระดาษที่มีกาวไม่เหนียวติดอยู่ด้านหลัง ซึ่งสุดท้ายมันก็กลายมาเป็น Post-it ที่เรารู้จักกันนั่นเอง

3.Exploitation Thinking 

Exploitation Thinking หมายถึงการคิดในเชิงธุรกิจและการตลาดว่าจะทำอย่างไรถึงจะแสวงหากำไรหรือทำเงินจากไอเดียที่คิดมาได้ โดยตัวอย่างก็ยังอยู่ที่ 3M โดยในครั้งแรกได้ตั้งชื่อสินค้านี้ว่า ‘Press n’ Peel’ (แปลว่าแปะและลอกออก) โดยทดลองตลาดด้วยการวางจำหน่ายในบางพื้นที่ เพื่อดูฟีดแบ็กก่อน แต่ปรากฏว่ามันขายไม่ออก ด้วยเหตุผลว่าคนงง ไม่รู้ว่าใช้ยังไง เลยทำให้ 3M ต้องกลับมาคิดวิธีใหม่

โดยใช้วิธีแจกตัวอย่าง ให้คนลองใช้กันดู จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า ‘Post-it’ (แปลว่าติดประกาศมัน) ทีนี้พอเปลี่ยนชื่อและแจกให้คนได้ลองใช้ คนก็เริ่มเก็ตแล้วว่ามันใช้ยังไงและมีประโยชน์อย่างไร ผลที่ได้คือ Post-it กลายเป็นสินค้าขายดีของ 3M และยังถูกใช้เป็นคำเรียกสิ่งที่ว่านี้ไปแล้ว ซึ่งหากจะให้สรุปกรณีนี้ก็คือ นอกจากจะผนวกไอเดียให้เป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว ก็ต้องคิดต่อในเชิงธุรกิจและการตลาดด้วยว่า จะทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร
 
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างในการเปลี่ยนความคิด และความรู้ในสิ่งที่ชอบให้เป็นนวัตกรรมสร้างรายได้ให้ตัวเองได้อย่างน่าสนใจโดยตัวอย่างแรกคือ เครื่องชงกาแฟของ Nespresso ที่เข้ามาปฏิวัติความคิดของการดื่มกาแฟยุคเก่าที่ว่าถ้าเร็วต้องไม่อร่อย

แต่ถ้าอยากอร่อยต้องไม่เร็วและด้วยการออกแบบเครื่องทำกาแฟ Nespresso ที่ใช้แคปซูลเป็นตัวบรรจุกาแฟทำให้ผู้บริโภคได้ชิมกาแฟรสชาติเยี่ยมในเวลาอันรวดเร็ว และ Nespresso ยังทำมากกว่านั้นด้วยการออกแบบเครื่องให้สวยงามสามารถตั้งโชว์ได้เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในสำนักงาน สร้างยอดขายได้อย่างถล่มทลายจากความคิดที่แปลงเป็นนวัตกรรมชิ้นนี้
 
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างในการแปลงความคิดเป็นนวัตกรรมสุดยอดสร้างรายได้ให้ตัวเองแบบสุดโต่งคือเรื่องของ Robert Lang นักออปโตอิเล็กทรอนิกส์ ดีกรีปริญญาเอกจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology) โดยเขาหลงใหลในศิลปะการพับกระดาษของญี่ปุ่นหรือโอริกามิอย่างจริงจังและเขาก็ศึกษามันจนทะลุปรุโปร่งและเขาก็ตัดสินใจลาออกมาศึกษาเรื่องนี้แบบจริงจัง

และกลายเป็นว่างานอดิเรกด้านโอริกามิของ Robert Lang ได้ถูกนำมาใช้กับองค์การนาซา ที่ต้องการพับเลนส์กล่องส่องทางไกลเพื่อส่งขึ้นสู่อวกาศ  หรือผู้ผลิตรถยนต์ในเยอรมันนีที่ใช้ความรู้ด้านการพับโอริกามิของ Robert Lang ในการพับแอร์แบ็กเข้าไปในตัวรถยนต์ แม้กระทั่งวงการแพทย์ก็ต้องขอความรู้จาก Robert Lang ในการผลิตอุปกรณ์ขยายหลอดเลือดที่ตอนเข้าต้องมีขนาดเล็กและขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเข้าไปถึงเป้าหมายในร่างกาย ตัวอย่างของโอริกามิจาก Robert Lang นั้นชัดเจนมากว่าความคิดสร้างสรรค์ถ้าทำอย่างจริงจังก็ทำให้เป็นนวัตกรรมและสร้างรายได้มหาศาล 
 
ไอเดียที่แตกต่างและความหลากหลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการทำธุรกิจยุคใหม่ ยิ่งแตกต่างยิ่งได้เปรียบบางครั้งสิ่งที่เราถนัด หรือสิ่งที่เราคุ้นเคยอาจดูไม่มีความหมายแต่ถ้าเราศึกษาและพัฒนาความรู้ความสามารถที่มีอย่างจริงจังก็ทำให้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ๆที่ทำให้โลกแตกตื่นนั้นคือที่มาของรายได้มหาศาลที่เริ่มมาจากความคิดอันแปลกและแตกต่างของตัวเราเองล้วนๆ
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม

ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
612
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
514
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
434
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
421
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
417
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด