บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    การวางแผนธุรกิจ
3.8K
2 นาที
26 มกราคม 2561
10 วิธีเอาตัวรอด ยอดขายตก!


คนทำธุรกิจก็ต้องคิดถึงกำไร แต่บางทีด้วยเหตุผลหลายอย่างการทำธุรกิจก็ไม่สำเร็จอย่างที่ใจคิด ยิ่งเราอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ ยิ่งต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับกระแสสังคมยุคใหม่ สำหรับธุรกิจไหนที่กำลังประสบปัญหากับยอดขายที่ไม่เป็นดั่งใจ www.ThaiFranchiseCenter.com มี10วิธีเอาตัวรอดมาฝากกันลองเอาไปปรับใช้ดู
 
1.หาต้นเหตุของปัญหาโดยเร็ว


ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายตกอาจมีได้หลายอย่าง ทั้งการเจอคู่แข่งขายตัดราคา หรือว่าเพราะสภาพเศรษฐกิจไม่อำนวย นั้นรวมถึงการมองที่ตัวเองด้วยว่าสินค้าดีมีคุณภาพ การบริการดีแค่ไหน หรือเป็นเพราะการบริหารจัดการที่ไม่ดี ในธุรกิจที่มียอดขายหล่นวูบ ยิ่งต้องหาต้นเหตุให้เจอโดยเร็วที่สุด
 
2.ยอดขายตกอย่ารีบร้อนลดราคาสินค้า


การลดราคามักจะเป็นสิ่งแรกที่ร้านค้าชอบทำเพื่อกระตุ้นยอดขายตัวเองให้มากขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกครั้งที่ลดราคาทั้งที่บางทีกำไรของสินค้าก็ไม่ได้มากบางทีลดราคามาเท่าทุนหรือต่ำกว่าทุนเพื่อเน้นขายให้ได้มากๆ ประมาณว่าขายได้ดีกว่าขายไม่ได้

ถือเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องนักและไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวเพราะแม้จะขายได้มากจึ้นแต่รายได้ก็ไม่ได้มากตามที่สำคัญยังเป็นการสร้างความเคยชินให้ลูกค้าที่จะแวะมาซื้อสินค้าเราก็เฉพาะตอนลดราคาเท่านั้น
 
3.ตลาดเก่าไม่เวิร์คต้องเพิ่มตลาดใหม่


ไม่ได้หมายถึงให้เราเปลี่ยนสถานที่ขายแต่คำว่าตลาดเก่าคือฐานลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีอยู่อาจจะมีปัญหาในการจับจ่ายหรือมีกำลังซื้อที่ไม่มากพอ ให้เราลองสร้างช่องทางการขายไปเจาะตลาดกลุ่มใหม่สร้างตลาดใหม่ให้ตัวเอง ซึ่งทุกวันนี้ช่องทางในโซเชี่ยลช่วยได้มากทั้ง เฟสบุ๊ค อินสตราแกรม  หรือแม้แต่โปรแกรมLine ก็ใช้เป็นเครื่องมือสร้างตลาดใหม่ได้ทั้งนั้น
 
4.เปลี่ยนบรรยากาศในร้านให้น่าสนใจมากขึ้น


ข้อคิดในการแต่งร้านประการหนึ่งคือ ต้องทำให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในร้านให้นานที่สุด จึงจะมีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น หลายธุรกิจที่ยอดขายตกอาจมีจุดบกพร่องในเรื่องบรรยากาศร้านที่คนเดินเข้ามาและก็ผ่านไป ไม่รู้สึกว่าอยากอยู่ในร้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของเราว่าจะเพิ่มลูกเล่น สีสันแบบไหน ให้ถูกใจลูกค้า ยิ่งถ้าทำให้ลูกค้าประทับใจถึงขนาดแช๊ะ และแชร์ได้จะดีมาก
 
5.จัดสินค้านำเสนอให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย


ในบรรดาลูกค้าที่เรามียบางทีเป็นคนหลายกลุ่ม หลายช่วงอายุ ซึ่งความต้องการในสินค้าและกำลังในการซื้อก็จะแตกต่างกัน วิธีหนึ่งที่แนะนำคือ แบ่งกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ออกมาและหาสินค้าที่เหมาะสมทั้งราคาและคุณภาพในแต่ละกลุ่มเพื่อนำเสนอขาย

เช่น สินค้ารุ่นประหยัดสำหรับคนที่มีกำลังซื้อไม่มาก หรือสินค้าที่มีราคาสูงกว่าเดิมแต่คุณภาพดีสำหรับกลุ่มที่เน้นเรื่องคุณภาพมากกว่าราคา ซึ่งจะทำให้เราปิดการขายได้ง่ายขึ้น
 
6.เทคนิคเสนอขายสินค้าร่วม


แนวคิดนี้นำมาจากร้านสะดวกซื้อที่มักจะทิ้งประโยคคำถามแก่ลูกค้าว่าพี่ไม่เอาสินค้าตัวนี้ไปด้วยเหรอ?  สินค้าตัวนี้ลดราคานะพี่? ซื้อ1แถม1 สินค้ามาใหม่ลองดูไหม? แน่นอนเช่นกันว่าหลายคนอาจปฏิเสธแต่ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ปฏิเสธและยอมซื้อสินค้าที่ขายร่วมในครั้งนี้ด้วย
 
7.ต้องกำหนดกำไร ไม่ใช่ยอดขาย


และเป็นกำไรในปริมาณที่พอเหมาะไม่ได้สูงเว่อร์ บางคนขายดีจนเจ๊งก็เพราะเอาแต่ปล่อยเชิงปริมาณแต่ต้นทุนสินค้าสูงมาก ยอดขายได้ดีแต่ไม่มีกำไร  การกำหนดกำไรให้ตัวเองในแต่ละช่วงเช่น 3 เดือน ต้องการเท่าไหร่ 6 เดือนต้องการเท่าไหร่จะช่วยให้เราโฟกัสแผนการตลาดในระยะสั้นได้ด้วย และเมื่อรวมตัวเลขการขายทั้งปีก็จะมีโอกาสเป็นกำไรได้สูงมากขึ้น
 
8.ลองเปลี่ยนจากขายปลีกมาเป็นขายยกชุดหรือเป็นแพ็คดูบ้าง


เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่เพิ่มยอดขายทวีคูณ ยังไงก็ดีกว่าซื้อทีละอัน ทีละกล่อง ด้วยการขายเป็นชุดหรือเป็นแพ็ค นอกจากจะทำให้เราได้ยอดขายเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้เหนื่อยน้อยลง แต่การขายปลีกก็ไม่ควรละทิ้งต้องมีไว้เป็นทางเลือกหลักให้กับลูกค้า ยกตัวอย่างการขายล็อตเตอรี่ที่ปัจจุบันมีทั้งแบบขายเป็นชุดและขายปลีกทีละใบ ซึ่งก็อยู่ที่ลูกค้าว่าจะชอบแบบไหน
 
9.สร้างพลังทางบวกในความคิดตัวเอง


ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการตลาดเสนอทฤษฏีที่เรียกว่าแรงดึงดูดนั้นคือการที่เราฟังข่าวเศรษฐกิจไม่ดี พูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าด้วยกันที่ยอดขายตก การฟังด้านลบซ้ำๆทุกวัน แม้เราจะไม่รู้สึกอะไรแต่มันคือการสะสมข้อมูลด้านลบไว้ในสมอง

เมื่อเกิดเหตุการณ์ยอดขายตกก็ทำให้เราท้อแท้และโทษสิ่งรอบตัว ทางที่ดีเราต้องสร้างพลังบวกด้วยการคิดว่ายังมีคนอีกมากที่ไม่เคยรู้จักสินค้าเรา และคนกลุ่มนี้คือลูกค้าที่จะเพิ่มยอดขายให้เราได้ ดังนั้นเราต้องหัดคิดด้านบวกก่อนยอดขายก็จะมีวิธีพัฒนาให้ดีขึ้นได้
 
10.สร้างความแตกต่างของสินค้าให้มากขึ้น


เป็นเรื่องธรรมดาที่สินค้าในตลาดย่อมต้องเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านลูกชิ้น ร้านเครื่องดื่ม  ฯลฯ สิ่งสำคัญคือเราจะทำให้สินค้าเราต่างจากคู่แข่งอย่างไร นักการตลาดวิเคราะห์ว่าคนซื้อตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยความรู้สึก คือรู้สึกว่าดีกว่า คุ้มกว่า น่าสนใจกว่า

ไม่ใช่ตัดสินแค่ที่เรื่องราคาเพียงอย่างเดียว ดังนั้นธุรกิจที่ดีต้องสร้างเรื่องราวสินค้าตัวเองให้ชัดเจนว่าลูกค้าจะได้รับอะไรหากซื้อสินค้าและบริการของเรา เช่นอาจมีส่วนผสมที่พิเศษกว่า หรือการซื้อสินค้าของเราจะเป็นการช่วยเหลือสังคมได้ด้วยการหักรายได้ส่วนหนึ่งไปบริจาค เป็นต้น
 
พื้นฐานหลักของการตลาดที่ทำให้ธุรกิจมีกำไรคือต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้านั้นจำเป็นต่อชีวิตประจำวันและเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จำเป็นต้องใช้หากเราสร้างค่านิยมให้ลูกค้ารู้สึกเช่นนั้นได้จะเป็นลูกค้าเองที่เดินเข้ามาหาเราและธุรกิจนั้นก็จะไม่เจอกับปัญหายอดขายตกเป็นอันขาด

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่  goo.gl/Io5k2S
 

ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
503
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
421
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด