บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
2.4K
3 นาที
10 เมษายน 2563
วิกฤต SMEs ไทยกับ COVID 19


ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกันอันดับแรกคือ “ยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID 19” ให้ได้ เมื่อสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID 19 และทำให้สถานการณ์โดยรวมปลอดภัยมากขึ้น ก็ยังมีสิ่งที่ต้องคิดต้องทำและหนักหนาสาหัสไม่แพ้กันคือ “กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง”  
 
หากจะเปรียบเทียบกันไป www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่า “เศรษฐกิจ” ตอนนี้ก็เป็นเหมือนคนป่วยอาการหนัก โอกาสรอดก็ 50-50 อยู่ที่ว่าหมอจะมาทันและเลือกใช้วิธีช่วยได้ถูกต้องทันเวลาหรือไม่ เพราะอย่างที่ทราบว่าตัวเลขเศรษฐกิจของไทยในปี 2563 นี้ไม่น่าจะเติบโตได้ตามคาดการณ์แถมยังน่าจะลดลงเยอะด้วย
 
คาดการณ์จากทุกสำนักฟันธง! ปี 2563 เศรษฐกิจไม่โตกว่าเดิม
 
ภาพจาก bit.ly/2JRfGmr

เริ่มจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ได้ประเมินไว้ว่า โควิด-19 จะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในปี 2020 ลดลงเหลือเพียงราว 18 ล้านคน หรือลดลง 54.6 เปอร์เซ็นต์  โดย TMB Analytics ปรับลดคาดการณ์ GDP จาก 2.7 เปอร์เซ็นต์ เหลือ -0.8 เปอร์เซ็นต์  ในปี 2020 โดยมีแนวโน้มที่สถานการณ์จะกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4
 
และศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ได้ปรับประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2563 จากเดิม 2.7% ลงมาอยู่ที่  0.5% เป็นการเติบโตต่ำสุดในรอบ 11 ปี ถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์ในปี 2552 และหากเศรษฐกิจไทยจะกระเตื้องขึ้นมาได้บ้างก็ต้องเป็นช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการควบคุสถานการณ์โรคระบาดว่าจะทำได้ดีแค่ไหนและปัจจัยภายนอกคือการระบาดของโรคในต่างประเทศก็มีผลต่อการฟื้นกลับคืนของเศรษฐกิจไทยด้วย
 
ในส่วนสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) คาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 หดตัวไม่ต่ำกว่า -8% และมีโอกาสหดตัวถึงตัวเลขสองหลัก บนสมมติฐานค่าเงิน 30.50 บาท/ดอลลาร์ (ณ วันที่ 6 เมษายน 2563 เท่ากับ 32.895 บาท/ดอลลา) 
 
วิกฤติ COVID 19 บรรดา SMEs ไทยสาหัสแค่ไหน?
 
ภาพจาก bit.ly/3eaEzHT

วิกฤต COVID 19 ครั้งนี้ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างรุนแรง มากกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ซึ่งในครั้งนั้นเรามีปัญหากับสถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ๆที่มีการกู้เงินดอลล่าร์จากต่างประเทศเยอะ ในขณะที่ภาค การเกษตร ภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออก ยังพอช่วยประคองเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะเมื่อค่าเงินบาทในตอนนั้นอ่อนลงอย่างมาก ทำให้เราส่งออกสินค้าต่างๆ และการท่องเที่ยวดีขึ้น แต่มาวิกฤตครั้งนี้

ผลกระทบที่รุนแรงกลับเป็นด้านการท่องเที่ยว เกษตรกรรมและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นกำลังหลักสำหรับ GDP ของประเทศไทยในปัจจุบัน แถมวิกฤตครั้งนี้ยังส่งผลกระทบทั่วโลก แม้แต่ภาคการผลิตและส่งออกก็ชะลอตัวจากคำสั่งซื้อที่ลดลงด้วย ผลกระทบดังกล่าวจะมีผลต่อคนจำนวนมาก และอาจมีคนตกงานถึง 5 ล้านคน และ GDP ของปีนี้น่าจะลดลงมากกว่า 6%
 
ถึง ณ วันนี้ภาครัฐเองก็สรรหามาตรการหลายอย่างออกมาพยุงบรรดา SMEs ให้อยู่รอด แต่ก็ดูเหมือนว่าหลายแห่งจะ “ไม่รอด” ด้วยการประกาศปิดกิจการแบบถาวร อีกหลายแห่งมีการปรับลดเงินเดือนพนักงาน รวมถึงมีการจ้างออกเพื่อลดต้นทุน รวมไปถึงบางแห่งมีการปิดกิจการชั่วคราวโดยไม่จ่ายเงินเดือนพนักงาน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักหนาสาหัสชนิดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และต่อไปนี้คือสิ่งที่บรรดา SMEs ที่ต้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้ตรงจุดที่สุด
 
4 มาตรการที่เหล่า SMEs ต้องการความช่วยเหลือด่วนที่สุด
 
1.การเยียวยาต้องใหญ่และเพียงพอ
 
การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ต้องมีขนาดใหญ่และเพียงพอต่อการช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่จำเป็น ตัวเลขที่หลายๆประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือสิงคโปร์ใช้ในขั้นต้นคือ 10% ของ GDP ซึ่งถ้าใช้มาตรฐานเดียวกันจะอยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งประเทศไทยยังมีกรอบวงเงินหนี้สาธารณะที่สามารถใช้ได้ และไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากต่างประเทศ (IMF)
 
2.ช่วยเหลือให้ครบทุกกลุ่มอาชีพ
 
มาตรการช่วยเหลือต้องครอบคลุมประชาชนที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม เกษตรกร ลูกจ้าง อาชีพอิสระ เจ้าของกิจการ โดยภาครัฐต้องคิดให้ครบถ้วน ไม่ใช่การคิดแยกส่วนเป็นแต่ละกระทรวง ทำให้เกิดความสับสน ว่าใครได้ ใครไม่ได้ ปัจจุบัน เกษตรกร ลูกจ้าง SMEs ดูแลด้วยคนละหน่วยงาน ไม่เห็นในภาพรวม ประชาชนจำนวนมากต้องมารอลุ้นว่าจะได้รับความช่วยเหลือหรือไม่
 
3.ต้องชะลอการเลิกจ้างให้มากที่สุด 
 
ภาพจาก bit.ly/2Rpz2TS

เมื่อแรงงานถูกเลิกจ้าง โอกาสจะกลับมาเข้าสู่ระบบยาก เสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง ต้องพยายามช่วยให้ธุรกิจเลิกจ้างให้น้อยที่สุด เพราะสุดท้ายถ้าถูกเลิกจ้าง ภาครัฐก็ต้องช่วยอยู่ดี แนวคิดเดียวกับการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย แทนที่จะมารักษาผู้ป่วย อาจอยู่ในรูปแบบที่รัฐช่วยออกเงินเดือนในบางส่วนและแตกต่างกันตามผลกระทบของแต่ละธุรกิจ เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม การบิน ถูกกระทบมากกว่าธุรกิจอื่น
 
4.ต้องให้ความช่วยเหลือที่สอดคล้องกับความต้องการ 
 
เช่น สถานการณ์ปัจจุบัน ธุรกิจขนาดเล็ก SMEs อาจไม่ได้ต้องการ Soft Loan เพราะหนี้ปัจจุบันก็เยอะอยู่แล้ว เขาต้องการเงินช่วยเหลือมากกว่าการเพิ่มหนี้ หรือการช่วยรับภาระดอกเบี้ยให้ประชาชน และการชะลอการจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆไม่จำเป็นต้องเร่ง เพราะผู้รับเหมากับราชการได้รับผลกระทบน้อย งบประมาณต้องลงตรงประชาชนให้มากที่สุด
 
ก่อนจะให้คนอื่นช่วย SMEs ก็ต้องช่วยตัวเองก่อน
 
และอย่างที่ทราบว่ามาตรการใดๆ ในตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะช่วยเหลือ SMEs ได้ดีแค่ไหน เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดยังน่าเป็นห่วง การทุ่มกำลังในช่วงนี้คือหยุดการแพร่ระบาดให้ได้ ดังนั้นเหล่า SMEs ก็ต้องรู้จักพึ่งพาตัวเองให้ได้ในช่วงนี้โดยมี 2 วิธีที่พอจะทำได้คือ
 
1.เพิ่มรายได้ 
 
ภาพจาก bit.ly/3aYYaJ8

มองช่องทางขายออนไลน์ หรือต่อยอดรูปแบบธุรกิจอื่น ๆ เพื่อเพิ่มช่องทาง และโอกาสในการขายท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น มี 2 สิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนไป นั่นคือ ผู้คนยังคงมีความต้องการบริโภค และความต้องการในการหารายได้ ดังนั้นอุปสงค์ของสินค้าอุปโภคและบริโภคในตลาดยังคงมีอยู่ แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคอาจเปลี่ยนไปจากเดิม ในวิกฤตที่คนไม่ยอมออกจากบ้านเพื่อไปจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้า ช่องทางออนไลน์จึงเป็นอีกทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการ

ดังนั้น SMEs จึงควรมองหาทุก ๆ แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าออนไลน์ และใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเหล่านั้นอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือ marketplace โดยมีเทคนิคย่อยๆ ที่ใช้ได้ผลยกตัวอย่างเช่น
  1. เปลี่ยนเมนูที่ใช้วัตถุดิบหายากหรือมีโอกาสเสียง่าย ให้เป็นวัตถุดิบที่หาง่ายขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการทำ stock
  2. เปลี่ยนพนักงานเสิร์ฟเป็นพนักงานส่งอาหาร และผันตัวเองมาให้บริการแบบ take away หรือส่งอาหารตรงถึงบ้าน
  3. ปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการ เช่นธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศเกาหลีใต้ เปลี่ยนการให้บริการโดยการเช่าลานจอดรถกว้างและให้บริการฉายภาพยนตร์จอยักษ์แบบ drive through หรือธุรกิจการไหว้เคารพสุสานบรรพบุรุษของจีน หรือเช็งเม้ง ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการได้ โดยการรับจัดหาอาหาร และ live การไหว้บรรพบุรุษให้กับลูกค้าที่ไม่สามารถเดินทางมาด้วยตนเอง
2.ลดรายจ่าย

ภาพจาก bit.ly/3aYYaJ8

วิเคราะห์และปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปการนำบัญชีรายรับและรายจ่ายมาวิเคราะห์ เพื่อหาว่ารายจ่ายตรงจุดไหนที่สามารถตัดออก เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น สินค้าฟุ่มเฟือยประเภทต่าง ๆ หรือรายจ่ายที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ในช่วงเวลานี้
 
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ถือเป็นเส้นทางหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจไทยอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย การแก้ปัญหาก็ต้องดำเนินไปทีละอย่าง เริ่มจากแก้ปัญหาหลักคือยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID 19 ให้ได้จากนั้นค่อยมาคิดกันเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไหนอย่างไรให้ฟื้นคืนกลับมาได้มากที่สุด

แต่ที่แน่นอนว่าปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องระยะสั้นแต่เป็นปัญหาระยะยาวคิดคร่าวๆ อย่างน้อยก็น่าจะลากยาวไปถึงปลายปี แต่ก่อนหน้านี้ขอให้มีบางส่วนที่ฟื้นคืนมาได้บ้าง แม้จะไม่กลับมาดีดังเดิมในทันใดอย่างน้อยให้หายใจได้ด้วยตัวเอง เบื้องต้นให้ได้เท่านี้ก็ดีใจเหลือเกินแล้ว
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ 
 
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
606
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
499
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
475
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
419
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
406
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
405
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด