บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
2.3K
2 นาที
27 กรกฎาคม 2565
ผลกระทบ “การค้าไทย-เมียนมา” ในวิกฤตค่าเงินจ๊าต 
 

กรณีวิกฤตการเงินของเมียนมา จนธนาคารกลางเมียนมาออกคำสั่งให้ธนาคารแจ้งลูกค้าระงับการจ่ายหนี้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย แก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อรักษาปริมาณเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาพบว่าบริษัทต่างประเทศในเมียนมา มีเงินกู้ยืมในสกุลต่างประเทศอย่างน้อย 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเริ่มเห็นรัฐบาลเมียนมาเข้าควบคุมค่าเงินอย่างชัดเจนมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา
 
มาตรการดังกล่าวรัฐบาลมีคำสั่งให้ผู้ที่มีเงินต่างประเทศแปลงสกุลเงินของตนเองเป็นเงินจ๊าต โดยอัตราอ้างอิงธนาคารกลางที่ 1,850 จ๊าต/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาล เพื่อป้องกันความผันผวนของสกุลเงินจ๊าต 
 
รัฐบาลเมียนมายังห้ามนำเข้ารถยนต์ สินค้าฟุ่มเฟือย จำกัดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันปรุงอาหาร เพื่อรักษาปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศ แม้ยังอนุญาตให้ใช้เงินหยวนและเงินบาทเพื่อการค้าชายแดนกับจีนและไทยอยู่ก็ตาม

ภาพจาก https://bit.ly/3vjCLGz
 
กรณีดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร “คุณกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์” ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้ให้ความคิดเห็นในภาพรวมว่า ประเทศเมียนมาหลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จนกระทั้งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกจากผลสงครามยูเครน-รัสเชีย ตามมาด้วยเหตุการณ์ในประเทศศรีลังกา ทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบถ้วนหน้า

ในขณะที่ประเทศเมียนมาซึ่งมีความเปราะบางอยู่เป็นทุน ย่อมได้รับผลมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ และปัญหาเศรษฐกิจในเมียนมา ที่สภาพของกระแสเงินสดในท้องตลาดที่ไม่อยู่ในสภาพที่คล่อง ส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดน้อยลงอย่างมีนัยยะ รัฐบาลเมียนมาได้พยายามออกมาตรการต่างๆ ออกมา

ภาพจาก https://bit.ly/3cyyA3a
 
เช่น ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ได้มีการออกกฎระเบียบการห้ามนำเข้าสินค้า 6 ประเภทเข้ามาทางชายแดน เพื่อลดการขาดดุลการค้า และเมื่อได้สองเดือนก่อนหน้านี้ ก็ได้ออกมาตรการบังคับให้บริษัทต่างๆ ที่มีเงินฝากหรือเงินชำระค่าสินค้าที่เป็นเงินสกุล US$ ให้แลกเป็นเงินจ๊าดภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยในการพยุงมิให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ จากการดำเนินมาตรการต่างๆ ดังกล่าว ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ถดถอยน้อยลงได้ 
 
ดังนั้น เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางธนาคารกลางแห่งประเทศเมียนมา จึงได้มีการออกประกาศให้ทุกภาคส่วน ระงับการชำระหนี้ที่เป็นหนี้สกุล US$ ออกไปก่อน แต่ยังคงผ่อนปรนให้มีการใช้นโยบายบาท-จ๊าตละหยวน-จ๊าตในการดำเนินการค้าชายแดนต่อไป ระเบียบการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบทั้งในด้านบวกและลบต่อการค้า-การลงทุนของธุรกิจไทยอย่างแน่นอน
 
 
สำหรับปัจจัยที่นำไปสู่มาตรการสั่งพักชำระหนี้เป็นเงินสกุล US$ เพราะเนื่องจากผลที่ทางรัฐบาลเมียนมาได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ อีกทั้งเพื่อปกป้องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีน้อยอยู่แล้ว มิให้เกิดปัญหาการขาดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ อันเนื่องมาจากการขาดดุลการค้าและบริการ และการต้องชำระหนี้เงินกู้ ที่ทุกปีจะต้องมีการชำระไม่น้อย 1200 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นการระงับชำระเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เมียนมาสามารถยืนหยัดอยู่ได้
 
ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เผยต่อว่า นโยบายดังกล่าวอาจจะทำให้เจ้าหนี้ทั่วไป มีความรู้สึกไม่สบายใจหรือเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อประเทศเมียนมา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ที่ประเทศเมียนมาเอง ก็ถูกแซงชั่นจากชาติตะวันตกอยู่แล้ว คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหยุดเลือดให้ไหลได้ 
 
แนวโน้มการค้า-ลงทุนไทย-เมียนมา
 

ด้านการค้าปัจจุบันนี้การค้าระหว่างประเทศของไทย-เมียนมา มีมูลค่า 188,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ 5 เดือนที่ผ่านมา ไทยเรามียอดการค้าระหว่างประเทศกับเมียนมาอยู่ที่ 108,959.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 38.12% ไม่นับรวมการค้าที่ไปโดยไม่ได้บันทึก อีกทั้งเป็นการค้าชายแดนเสีย 91.64% เป็นการค้าทางเรือหรือที่เรียกว่าการค้าระหว่างประเทศทั่วไป(Normal Trade) อยู่ที่ 8.36% และทางรัฐบาลเมียนมายังผ่อนปรนให้ใช้นโยบายบาท-จ๊าตอยู่ 
 
ดังนั้น จึงไม่ส่งผลต่อการค้าเลย อาจจะเป็นผลดีสำหรับการค้าด้วยซ้ำ หากผู้ประกอบการรู้จักใช้นโยบายดังกล่าวนี้ให้เป็นประโยชน์และถูกกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นกำแพงที่ไม่ใช่ภาษี( Non-tariff barrier) ให้กับสินค้าไทยด้วยซ้ำ
 
ถ้าเราเปรียบเทียบการค้าระหว่างประเทศของไทย-เมียนมา และระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ จะเห็นว่าประเทศไทยมีแต้มต่อมากกว่าประเทศอื่นๆ มาก เพราะประเทศอื่นๆ ไม่มีพรมแดนติดกับประเทศเมียนมา พ่อค้าแม่ค้าและนักธุรกิจส่วนใหญ่จะทำการค้าขายโดยใช้เงินสกุลเหรียญสหรัฐ ทำให้ติดกับดักกับนโยบายดังกล่าว ดังนั้น สภาธุรกิจไทย-เมียนมาอยากขอให้นักธุรกิจขาวไทยยิ้มไว้ในใจก็พอ อย่าไปกระโตกกระตากมากจนเกินหน้าเกินตา 
 
ไม่ล้มละลาย แต่...ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย 
 

บางคนถามว่าทำไมเมียนมาถึงออกมาตรการดังกล่าว ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมาได้ยกตัวอย่างให้ฟังเล่นๆ สมมุติว่ารัฐบาลประเทศเมียนมาเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง และโลกใบนี้เป็นสังคมเดี่ยว ที่มีเงินสกุลอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นเงินของคนทั้งโลก เอาเป็นว่าเงินดอลลาร์ เมื่อในกระเป๋าของคนๆ นั้น เงินเริ่มที่จะลดลง มากกว่าหนี้ที่จะต้องชำระ และมองว่าหากชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ไปแล้ว เงินจะหมดกระเป๋า

เป็นธรรมชาติที่คนๆ นั้นก็จะต้องบอกเจ้าหนี้ว่า ขอผมหายใจหายคอสักระยะหนึ่งได้มั้ย ขอผ่อนชำระน้อยหน่อย หรือหยุดชำระหนี้ก่อนได้มั้ย รอเงินในกระเป๋าผมมีมากพอที่จะชำระหนี้ได้ แล้วผมจะจ่ายให้ ก็เข้าตำรา “ไม่มี ไม่หนี้ ไม่จ่าย” หรืออีกนัยยะหนึ่ง คือการขอประนอมหนี้ แล้วเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ แล้วอย่างนี้เขายังไม่ได้ล้มละลาย เราจะไปว่าเขาได้หรือไม่? แม้แต่ศาลแพ่งของเรา ก็ยังมีกระบวนการนี้เลย
 
สำหรับธุรกิจและกลุ่มสินค้าของประเทศไทยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อยจากมาตรการของรัฐบาลเมียนมา ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่ส่งออกไปเมียนมา เช่น ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง เซรามิต และสินค้าวัสดุอื่นๆ รวมไปถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มเครื่องดื่ม, กลุ่มพลังงาน และ กลุ่มชิ้นส่วน 
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document
 
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
426
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
411
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด