บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
1.0K
2 นาที
10 กุมภาพันธ์ 2566
อยากมีเงินเก็บ มันยาก! ออมเงินแบบไหน ถึงจะพอใช้จริงๆ!
 

คำว่า “พอใช้” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอยู่ตัวคนเดียวไม่ต้องรับภาระอะไรรายจ่ายก็น้อย แต่บางคนครอบครัวใหญ่ค่าใช้จ่ายก็มาก แต่สิ่งที่ www.ThaiFranchiseCenter.com คิดว่าทุกคนในยุคนี้มีเหมือนกันคือปัญหาเรื่อง “การออม” มีทฤษฏีการออมมากมายที่ให้เราศึกษา แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นแค่ตำราเพราะบางทีเอามาใช้จริงไม่ได้ ยิ่งยุคเงินเฟ้อแบบนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่นอกจากเก็บออมเพิ่มไม่ได้ ยังต้องเอาเงินที่เก็บไว้ออกมาใช้อีกด้วย คำที่ว่าเก็บเงินมันเรื่องยาก จึงสมเหตุสมผลและทุกคนก็เข้าใจ แต่เราก็เชื่อว่าทุกคนก็ยังอยากรู้เหมือนกันว่าจะมีการออมเงินแบบไหนไหม ที่นำมาใช้ได้จริงและพอใช้จริงๆ ในยุคนี้
 
ตั้งเป้ากับตัวเองก่อนว่ามีเงินแค่ไหนถึงจะเรียกว่า “พอใช้”
 

ก่อนจะไปคิดเก็บเงินต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าสำหรับเราเงินแค่ไหน “ถึงจะพอใช้” บางคนครอบครัวรายได้รวมของสามีภรรยาประมาณ 30,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเรียนลูก ค่าน้ำมันในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในครอบครัว รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 30,000 ต่อเดือน นั่นเท่ากับว่าไม่ต้องพูดถึงเงินออม เพราะแค่ใช้ให้พอเดือนก็ยากเต็มที หรือใครที่อาจมีรายได้ที่สูงกว่านี้ แต่บางทีก็มีรายจ่ายที่สูงตามด้วย หรือในบางกลุ่มที่รายได้น้อยกว่านี้แต่มีค่าใช้จ่ายมาก ก็เรียกว่าเดือนชนเดือนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดถึงเรื่อง “เงินเก็บ” เพราะมันยากจริงๆ
 
จึงเป็นที่มาของการตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองว่าอยากมีเงินแค่ไหนเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่ง ที่จะทำให้ “พอใช้” บางคนตั้งเป้าฉันต้องมีเงินล้านก่อนอายุ 30 บางคนบอกว่าสมัยนี้ถ้าอยู่จนถึงอายุ 60 ต้องมีเงินเก็บสัก 10 ล้านจึงจะเรียกว่าพอใช้ เป็นต้น
 
ตั้งเป้าแล้วตั้งทำยังไง ให้เก็บเงินได้จริง!
 

แค่ตั้งเป้าใครก็ทำได้ปัญหาคือ ทำยังไงให้เป็นจริง และไม่ใช่ทุกคนที่ตั้งเป้าแล้วจะทำได้ คนส่วนใหญ่เรียนจบเริ่มทำงานอายุประมาณ 22 ปี สมมุติอยากมีเงินเก็บ 10 ล้านก่อนอายุ 30 จะมีเวลาเก็บเงินแค่ 8 ปี เฉลี่ยต้องเก็บให้ได้ปีละ 1,250,000 บาท หรือเดือนละ 104,166 บาท ซึ่งบอกได้เลยว่ายาก หรือถ้าตัดตัวเลข “ก่อน 30” ออกไป แล้วคิดแค่ว่าต้องมีเงินให้ถึง 10 ล้าน สิ่งที่ต้องทำก็มี 2 เรื่องคือ การเพิ่มเงินเก็บของเราต่อเดือนให้มากขึ้น หรือเพิ่มผลตอบแทนของเงินเก็บเราให้มากขึ้น
 
เช่นเก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 70 ปีกว่าจะถึง 10 ล้าน ถ้าอยากลดเวลาให้น้อยกว่าก็ต้องเพิ่มเงินเก็บ เช่นเก็บเดือนละ 50,000 จะใช้เวลาประมาณ 17 ปี เป็นต้น แต่ปัญหาก็คือทฤษฏีพูดได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังเป็นได้ยาก ดังนั้นอีกวิธีที่จะทำให้มีเงิน 10 ล้านได้คือการเพิ่มผลตอบแทน หมายถึงการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ เช่นกองทุน พันธบัตร หรือหุ้นต่างๆ ยกตัวอย่างถ้าเราทำผลตอบแทนจากเงินเก็บได้ 5% ต่อปี โดยที่เราเก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท เราจะลดเวลาจาก 70 ปี เป็น 33 ปี ในการแตะเงิน 10 ล้าน เป็นต้น
 
เก็บเงินตามทฤษฏี การเกลี่ยการบริโภค (consumption smoothing)
 

บอกให้เก็บเดือนละ 10,000 หรือบอกว่าให้เอาเงินไปลงทุนต่างๆ มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่คนส่วนใหญ่ทำตามไม่ได้เพราะข้อมูลระบุชัดว่า บัญชีเงินฝากในประเทศไทยรวม 109.31 ล้านบัญชีในจำนวนนี้ 95.25 ล้านบัญชี มีเงินไม่เกิน 50,000 บาทและน่าตกใจยิ่งกว่าคือคนกว่า 12.2 ล้านคน มีเงินติดบัญชีไม่ถึง 500 บาท วิธีเก็บเงินที่เป็นไปได้มากที่สุดในยุคนี้คือ 
ทฤษฏีการเกลี่ยการบริโภค (consumption smoothing)
 
เป็นแนวคิดที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยรู้หัวใจของทฤษฏีนี้คืออย่าไปกังวลเรื่องการออม มีเท่าไหร่ก็ใช้ไปก่อนหรือกระทั่งจะก่อหนี้บ้างก็ไม่เป็นไร เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคตก็ค่อยเริ่มเก็บออมเงินก้อนใหญ่แล้วใช้หนี้ให้หมดถ้าเราใช้แนวคิดนี้ในการเก็บเงินวิธีการคร่าวๆ คือ
  • ในช่วงหลังเรียนจบ หรือกำลังก่อร่างสร้างตัว เราไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บเงิน พยายามนำเงินมาใช้อย่างสมเหตุผล ทั้งนำไปลงทุน นำไปใช้อาจเหลือเก็บบ้าง แต่ต้องมีเป้าหมายว่าต้องการอะไร
  • เมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งเช่นถึงวัย 30 ที่เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวยิ่งต้องมีการวางแผนอนาคตที่ชัดเจนมีการแบ่งเงินสำหรับการออมมากขึ้นเช่นทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิต หรือการลงทุนตามสมควรเป็นต้น
  • สิ่งสำคัญของทฤษฏีการเกลี่ยการบริโภค ไม่ได้ทำให้เราขาดวินัยในการใช้เงิน แต่ฝึกให้เรามีแผนในระยะยาว เริ่มต้นอาจไม่มีเงินเก็บ เงินเหลือ แต่เงินที่ใช้ไป จะต้องมีหวังงอกเงยหรือเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยที่เราไม่ต้องกระเสือกกระสนบีบบังคับตัวเองว่าต้องเก็บเงินเท่านั้นเท่านี้ต่อเดือน
ทั้งนี้ความสามารถในการเก็บออมของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีกคนที่มีความรู้ ความสามารถ จะใช้หาเงินเพิ่มได้ไม่ยาก เช่น ใครมีความสามารถในการถ่ายภาพก็สามารถรับงานถ่ายภาพตามงานต่างๆ อย่างงานรับปริญญาได้ หรือใครมีฝีมือในการทำขนมก็สามารถทำขนมมาขาย โดยใช้ Social Media ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นช่องทางในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ หากอาชีพเสริมที่เราทำนั้นรุ่ง รับรองว่าจะมีรายได้เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อมีรายได้มากขึ้นที่มากกว่ารายจ่าย ก็อาจทำให้เราเก็บเงินได้มากขึ้นหรือวางแผนการใช้เงินได้ง่ายขึ้นด้วย
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document

รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3dn5dl4https://bit.ly/3RPeulc 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
610
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
508
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
426
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
412
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด