บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
573
2 นาที
19 มิถุนายน 2567
รวมวิธีคิดเหนือชั้นทำให้รู้ว่า “ธุรกิจติดตลาด” หรือยัง
 

สินค้าติดตลาด คือสินค้าที่คนรู้จักทั่วไป ไม่จำเป็นต้องโฆษณาคนก็ต้องการจะซื้อหรือใช้บริการ แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ก็ต้องมีการ “สร้างแบรนด์” กันนานพอสมควร ยกตัวอย่าง โค้ก ยี่ห้อน้ำอัดลมที่ดังไปทั่วโลกซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 138 ปี มีวางขายในเมืองไทยมานานกว่า 75 ปี เป็นต้น
 
สำหรับแบรนด์ใหม่ๆ ที่เปิดตัวในตลาดก็คาดหวังว่าสักวันสินค้าเราจะฮิตแบบนั้น ซึ่งการสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดมี 4 เคล็ดลับสำคัญคือ
  1. มีกลุ่มเป้าหมาย และจุดยืนให้ชัดเจน 
  2. ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก มีความน่าสนใจ โดยใช้ต้นทุนให้น้อยที่สุด
  3. ทำโฆษณาในรูปแบบของสื่อชนิดต่างๆ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค
  4. ทำความเข้าใจลูกค้าสม่ำเสมอ สร้างความภักดีต่อแบรนด์ให้มากขึ้น
แต่ในความเป็นจริงสมมุติว่าเราเปิดร้านขายสินค้าอะไรสักอย่างแล้วปรากฏว่าขายดีมาก อันดับแรกเราต้องพอใจที่ธุรกิจนี้มันสร้างรายได้อย่างดี คำถามคือ “แล้วแบบนี้เรียกว่าเป็นธุรกิจที่ติดตลาดหรือยัง”
 
Product-Market Fit คือศัพท์ธุรกิจที่เราควรรู้ ซึ่งหากแปลตรงๆก็หมายถึง ความเหมาะสมสอดคล้องกัน ระหว่างผลิตภัณฑ์กับตลาดที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย หรือในอีกความหมายก็คือ “ฮิตติดตลาด” 
 
 
การดูว่าธุรกิจของเรา “ติดตลาด” หรือยังสังเกตได้จาก
  • ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของเราเร็วแค่ไหน ?
  • ลูกค้าพูดถึงสินค้าของเราให้คนรอบตัวรู้จัก หรือพูดถึงบนโซเชียลมีเดียหรือไม่ ?
  • ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมทางการตลาดของเราบ้างหรือไม่ ?
  • ลูกค้ายกเลิกการซื้อสินค้า หรือหากมีระบบสมาชิกมีจำนวนการยกเลิกมากน้อยแค่ไหน ?
แต่ถ้าการสังเกตยังไม่ชัดเจนมากพอและต้องการตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ก็มีสูตรคิดเช่น
  • Customer Churn Rate การหาว่าลูกค้าเก่าที่หันไปซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์อื่น คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด โดยหาได้จากสูตร Customer Churn Rate = (จำนวนลูกค้าที่หายไป / จำนวนลูกค้าทั้งหมด) x 100
  • Customer Retention Rate การหาอัตราการรักษาลูกค้าเก่าว่ายังมีลูกค้าเก่าอยู่กับธุรกิจของเรา คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาหนึ่งโดยหาได้จากสูตร Customer Retention Rate = [(จำนวนลูกค้าที่เหลืออยู่ - จำนวนลูกค้าใหม่ที่หาได้) / จำนวนลูกค้าในช่วงเวลาเริ่มต้น] x 100
 

ซึ่งทั้ง 2 วิธีคิดนี้สำหรับคนที่ไม่ชอบตัวเลขคงจะน่าเบื่อ อันที่จริงก็ค่อนข้างยุ่งยากในการแทนค่าตัวเลขต่างๆ แต่ก็มีอีกวิธีที่ง่ายกว่าคือ Net Promoter Score (NPS) ที่เป็นตัวชี้วัดความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ (Customer Loyalty) ที่ใช้เพียงคำถามง่าย ๆ ว่า “คุณจะแนะนำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ให้เพื่อนหรือคนใกล้ตัวหรือไม่”
  • ซึ่งทุกคำตอบจะมีการให้คะแนนตั้งแต่ 0-10
  • 0 คะแนน หมายความว่า จะไม่แนะนำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ อย่างแน่นอน
  • 10 คะแนน หมายความว่า จะแนะนำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ อย่างแน่นอน
เมื่อตั้งคำถามนี้กับลูกค้าหลายๆ คนและมีจำนวนมากพอจากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจไปวิเคราะห์และประเมินผลต่อไป
 
 
และเมื่อ สินค้าติดตลาดก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ ถึงตรงนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจต้องสร้างภาพจำให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Coca-Cola แบรนด์ระดับโลก ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอยู่แล้วยังต้องทุ่มงบประมาณมหาศาล เพื่อทำ “การโฆษณา” และ “การตลาด” ปีละกว่า 100,000 ล้านบาท ความต้องการเพียงอย่างเดียวของแบรนด์ที่ติดตลาดไม่ใช่การสร้างยอดขาย แต่ทำอย่างไรเพื่อรักษาลูกค้าเก่าให้คงอยู่ ในขณะที่ต้องมีลูกค้าใหม่เข้ามาทดแทน นำไปสู่การพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ที่เข้าใจ Pain Point ของลูกค้า ในทุกยุคสมัยเพื่อให้ธุรกิจนั้นฮิตตลอดกาล

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
จับเทรนด์ยุคใหม่ เลิกกลัว AI แย่งงาน แต่ให้กลัวค..
2,810
รวมธุรกิจเสือลำบาก ปี 2567/2024 โหดจัด ไปไม่รอด!
1,439
โหดจัด! ฟาสต์ฟู้ดจีน ไล่แซงแบรนด์ตะวันตก
743
เศรษฐกิจทรุดครึ่งปี! เลิกจ้างงานนับหมื่น บริษัทฯ..
654
10 ไอเดียแคมเปญโปรโมชั่น ร้านอาหาร เพิ่มยอดขาย ฉ..
515
นักธุรกิจ vs นักธุรโกย ต่างกันอย่างไร
481
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด