บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
1.1K
2 นาที
19 มิถุนายน 2567
รวมวิธีคิดเหนือชั้นทำให้รู้ว่า “ธุรกิจติดตลาด” หรือยัง
 

สินค้าติดตลาด คือสินค้าที่คนรู้จักทั่วไป ไม่จำเป็นต้องโฆษณาคนก็ต้องการจะซื้อหรือใช้บริการ แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ก็ต้องมีการ “สร้างแบรนด์” กันนานพอสมควร ยกตัวอย่าง โค้ก ยี่ห้อน้ำอัดลมที่ดังไปทั่วโลกซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 138 ปี มีวางขายในเมืองไทยมานานกว่า 75 ปี เป็นต้น
 
สำหรับแบรนด์ใหม่ๆ ที่เปิดตัวในตลาดก็คาดหวังว่าสักวันสินค้าเราจะฮิตแบบนั้น ซึ่งการสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดมี 4 เคล็ดลับสำคัญคือ
  1. มีกลุ่มเป้าหมาย และจุดยืนให้ชัดเจน 
  2. ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก มีความน่าสนใจ โดยใช้ต้นทุนให้น้อยที่สุด
  3. ทำโฆษณาในรูปแบบของสื่อชนิดต่างๆ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค
  4. ทำความเข้าใจลูกค้าสม่ำเสมอ สร้างความภักดีต่อแบรนด์ให้มากขึ้น
แต่ในความเป็นจริงสมมุติว่าเราเปิดร้านขายสินค้าอะไรสักอย่างแล้วปรากฏว่าขายดีมาก อันดับแรกเราต้องพอใจที่ธุรกิจนี้มันสร้างรายได้อย่างดี คำถามคือ “แล้วแบบนี้เรียกว่าเป็นธุรกิจที่ติดตลาดหรือยัง”
 
Product-Market Fit คือศัพท์ธุรกิจที่เราควรรู้ ซึ่งหากแปลตรงๆก็หมายถึง ความเหมาะสมสอดคล้องกัน ระหว่างผลิตภัณฑ์กับตลาดที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย หรือในอีกความหมายก็คือ “ฮิตติดตลาด” 
 
 
การดูว่าธุรกิจของเรา “ติดตลาด” หรือยังสังเกตได้จาก
  • ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของเราเร็วแค่ไหน ?
  • ลูกค้าพูดถึงสินค้าของเราให้คนรอบตัวรู้จัก หรือพูดถึงบนโซเชียลมีเดียหรือไม่ ?
  • ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมทางการตลาดของเราบ้างหรือไม่ ?
  • ลูกค้ายกเลิกการซื้อสินค้า หรือหากมีระบบสมาชิกมีจำนวนการยกเลิกมากน้อยแค่ไหน ?
แต่ถ้าการสังเกตยังไม่ชัดเจนมากพอและต้องการตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ก็มีสูตรคิดเช่น
  • Customer Churn Rate การหาว่าลูกค้าเก่าที่หันไปซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์อื่น คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด โดยหาได้จากสูตร Customer Churn Rate = (จำนวนลูกค้าที่หายไป / จำนวนลูกค้าทั้งหมด) x 100
  • Customer Retention Rate การหาอัตราการรักษาลูกค้าเก่าว่ายังมีลูกค้าเก่าอยู่กับธุรกิจของเรา คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาหนึ่งโดยหาได้จากสูตร Customer Retention Rate = [(จำนวนลูกค้าที่เหลืออยู่ - จำนวนลูกค้าใหม่ที่หาได้) / จำนวนลูกค้าในช่วงเวลาเริ่มต้น] x 100
 

ซึ่งทั้ง 2 วิธีคิดนี้สำหรับคนที่ไม่ชอบตัวเลขคงจะน่าเบื่อ อันที่จริงก็ค่อนข้างยุ่งยากในการแทนค่าตัวเลขต่างๆ แต่ก็มีอีกวิธีที่ง่ายกว่าคือ Net Promoter Score (NPS) ที่เป็นตัวชี้วัดความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ (Customer Loyalty) ที่ใช้เพียงคำถามง่าย ๆ ว่า “คุณจะแนะนำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ให้เพื่อนหรือคนใกล้ตัวหรือไม่”
  • ซึ่งทุกคำตอบจะมีการให้คะแนนตั้งแต่ 0-10
  • 0 คะแนน หมายความว่า จะไม่แนะนำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ อย่างแน่นอน
  • 10 คะแนน หมายความว่า จะแนะนำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ อย่างแน่นอน
เมื่อตั้งคำถามนี้กับลูกค้าหลายๆ คนและมีจำนวนมากพอจากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจไปวิเคราะห์และประเมินผลต่อไป
 
 
และเมื่อ สินค้าติดตลาดก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ ถึงตรงนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจต้องสร้างภาพจำให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Coca-Cola แบรนด์ระดับโลก ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอยู่แล้วยังต้องทุ่มงบประมาณมหาศาล เพื่อทำ “การโฆษณา” และ “การตลาด” ปีละกว่า 100,000 ล้านบาท ความต้องการเพียงอย่างเดียวของแบรนด์ที่ติดตลาดไม่ใช่การสร้างยอดขาย แต่ทำอย่างไรเพื่อรักษาลูกค้าเก่าให้คงอยู่ ในขณะที่ต้องมีลูกค้าใหม่เข้ามาทดแทน นำไปสู่การพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ที่เข้าใจ Pain Point ของลูกค้า ในทุกยุคสมัยเพื่อให้ธุรกิจนั้นฮิตตลอดกาล

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
605
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
496
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
475
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
418
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
406
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
405
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด