บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
633
2 นาที
3 กันยายน 2567
ทุนจีนกินรวบ! ตัดราคา – ขายทุกอย่าง ธุรกิจไทยจะสู้ยังไง?
 

สถานการณ์ “ทุนจีน” ที่บุกตลาดเมืองไทยตั้งแต่ปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ดูจะร้อนแรงและนักธุรกิจเมืองไทยก็ดูจะกังวลกันอยู่ไม่น้อย

การเข้ามาของสินค้าจากจีน มีตั้งแต่สินค้าชิ้นใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ จนถึงสินค้าชิ้นเล็กอย่างเสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงอาหารและเครื่องดื่ม
 
เอาแค่เรื่องใกล้ตัวอย่างอาหารและเครื่องดื่มตอนนี้ก็มีหลายแบรนด์จีนเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยไล่ตั้งแต่ MIXUE , WeDrink , Zhengxin Chicken , Cotti Cofee รวมไปถึง TEMU ที่เป็นแพลตฟอร์มสินค้าออนไลน์ด้วย
 
 
ก่อนหน้านี้ที่ฮือฮาก็เห็นจะเป็น “กางเกงช้าง” ที่ทำมาแข่งกับของไทย แถมราคาถูกกว่า หรือแม้แต่ชามตราไก่ ที่ขายราคาต่ำกว่าทุน 3-5 เท่า ส่งผลให้ผู้ประกอบการและโรงงานเซรามิกในลำปาง ได้รับกระทบอย่างหนัก
 
ปรากฏการณ์ “ทุนจีนบุกไทย” เป็นคำถามตัวโตๆ ว่า “ธุรกิจไทย” จะเอาอะไปสู้? เมื่อทุนจีนเหล่านี้ถาโถมรุกหนัก ทั้งตัดราคาขาย ต้นทุนสินค้าต่ำกว่า ชนิดที่คนไทยทำแบบนั้นไม่ได้ แถมยังขายกันแทบทุกอย่าง เบียดเข้ามาแย่ง Marketshare อย่างชัดเจน 
 
เรื่องนี้จำเป็นที่เราต้องตั้งสติและวิเคราะห์กันให้ดีๆ ซึ่งในโอกาสนี้เราได้พูดคุยกับ 2 กูรูผู้มีประสบการณ์ในแวดวงแฟรนไชส์คือ อาจารย์ อมร อำไพรุ่งเรือง และ อาจารย์ สุภัค หมื่นนิกร ที่ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “เราสู้ได้” 
 
อาจารย์อมรให้ความเห็นว่า อันที่จริงทุนจีนก็เริ่มเข้ามาในเมืองไทยนานแล้ว สอดคล้องกับข้อมูลที่ทีมงานไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์หามาเพิ่มก็พบว่าย่านเยาวราชไปจนถึงปากคลองตลาด พบว่าส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารของนายทุนจีน เปิดแข่งกับพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยเมื่อร้านอาหารจีน มีเจ้าของเป็นคนจีนเกิดขึ้นมากมาย ส่งผลให้ค่าเช่าร้านในแต่ละย่านทั้งเยาวราช สำเพ็งแพงขึ้น 2-3 เท่าตัว จากเดิม 50,000-100,000 บาท/เดือน เป็น 200,000 บาท/เดือน ทำให้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้
 
 
แต่ที่เป็นปัญหามากในตอนนี้คือการที่ทุนจีนเหล่านี้เริ่มลุยเข้ามาในธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร มากขึ้นแถมทำราคาได้ต่ำกว่า ถามว่าทำไมทุนจีนเข้ามาในไทยแล้วถึงมีดราม่ากันเยอะนัก ทั้งๆที่เมื่อก่อนแฟรนไชส์จากยุโรปหรืออเมริกาก็เคยมาทำตลาดในเมืองไทย แต่แฟรนไชส์เหล่านั้นเข้ามาแบบค่อยๆ สร้างพื้นฐานเติบโตไปพร้อมกับประเทศที่ในอดีตเรามี GDP ไม่สูง และสร้างมาตรฐานไปพร้อมๆ กับการขยายธุรกิจ ต่างจากแฟรนไชส์จากจีนที่เข้ามาในช่วง GDP เราเติบโตคนเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้นกลายเป็นว่าเหมือนธุรกิจเหล่านี้เข้ามาตวงผลประโยชน์จากเมืองไทยเต็มที่
 
อีกเหตุผลที่น่าสนใจโดยอาจารย์อมร มองว่าในประเทศจีนเองก็แข่งขันรุนแรงอยู่แล้ว พอออกมาเมืองไทยก็ดูเป็นเรื่องง่ายที่จะทำตลาดในเมืองไทย เพราะModel ธุรกิจในจีนมีหลากหลายมาก อย่างตอนที่คนจีนไปซื้อธุรกิจโรงหนังในอเมริกาก็ไปปรับกลยุทธ์การบริหารให้เหมาะกับคนในพื้นที่ผลก็คือเขาก็ประสบความสำเร็จมากๆ นั้นก็เพราะคนจีนมีหัวการค้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
 
 
สอดคล้องกับความคิดเห็นของอาจารย์สุภัค ที่บอกว่า หากสังเกตให้ดีทุนจีนส่วนใหญ่ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยจะเป็น International Product อย่างชานม ไก่ทอด ไอศกรีม เบอร์เกอร์ ซึ่งธุรกิจแฟรนไชส์ของไทยที่ไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิม
 
มาเจอกับแฟรนไชส์จีนที่เก่งในเรื่องการตลาด มีข้อได้เปรียบในเรื่องการทำต้นทุนให้ถูก ก็ทำให้ผู้บริโภคหันไปนิยมแบรนด์จีนมากยิ่งขึ้น
 
สินค้า Soft Power สู้ทุนจีนได้แน่!
 
 

ทั้งอาจารย์อมรและอาจารย์สุภัค ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าหากจะสู้กับแฟรนไชส์จีนที่รุกหนัก ต้องเน้นไปที่สินค้าพวก Local Product ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของคนไทย และต่อให้ใครมาทำก็ไม่เหมือน ยกตัวอย่างเช่น ผัดกระเพรา , ข้าวเหนียวหมูปิ้ง , สังขยาใบเตย , ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ น้ำใส น้ำตก เป็นต้น อาจารย์สุภัค ยังกล่าวอีกว่า “สำคัญคือเราต้องสร้างตัวตน (แบรนด์) ให้ชัดเจน การตลาดของเราต้องให้ครบเครื่อง ทำให้ลูกค้ารุ้สึกซื้อคุ้ม ไม่ใช่ซื้อถูก”
 
และสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการไทยสู้กับทุนจีนได้สูสีมากขึ้นคือต้องพัฒนาในเรื่องของ Customer experience ร่วมด้วย หากสังเกตให้ดีระหว่างแบรนด์จากยุโรป กับแบรนด์จากจีน เราจะเห็นว่า สินค้าจีนเน้นความเป็น Customer experience สูงมาก เขาพยายามที่จะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าไม่ว่าจะด้วยกิจกรรมต่างๆ การลดราคา การจัดบรรยากาศร้าน เป็นต้น ถ้าลูกค้าเกิดความประทับใจมีความรู้สึกดีกับแบรนด์นั้นๆ ก็นำไปสู่การเพิ่มยอดขายได้
 
ซึ่งจุดนี้ผู้ประกอบการคนไทยต้องใส่ใจโดยอาจารย์ อมรกล่าวว่า “คนไทยย่อมเข้าใจคนไทยด้วยกันดี ว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าชอบ แม้แต่คนจีนเขาก็อาจไม่เข้าใจในความรู้สึกของคนไทยได้เท่ากับคนไทยเอง เป็นจุดแข็งสำคัญที่ผู้ประกอบการคนไทยควรนำไปประยุกต์ใช้ให้มากขึ้น”

ภาพจาก www.facebook.com/dairyqueenthailand
 
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ “การโฟกัสกลุ่มลูกค้า” หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าสินค้าจีนเน้นไปที่ฐานล่างของพีระมิดคือกลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศ อย่างไรก็ดีมีหลายแบรนด์ที่ขยับในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างเดรี่ควีน ไม่ได้โฟกัสในการแข่งด้านราคากับทุนจีน แต่เน้นไปที่คุณภาพสินค้าและความเป็น brand position จึงไม่สนใจทุนจีนแต่เน้นการออกเมนูใหม่ที่เอาใจลูกค้าของเดรี่ควีนที่มีอยู่ทั่วประเทศ มีหลายเมนูที่สอดคล้องกับความเป็น Soft Power เช่น บลิซซาร์ดข้าวเหนียวมะม่วงน้ำกะทิ , บลิซซาร์ดข้าวเหนียวทุเรียนน้ำกะทิ , บลิซซาร์ดปังกรอบชาไทย , บลิซซาร์ดข้าวหลาม เป็นต้น
 
ทั้งนี้ทั้งอาจาย์อมรและอาจารย์สุภัค มองถึงผลกระทบของทุนจีนที่บุกตลาดเมืองไทยว่าสร้างสีสันให้แวดวงธุรกิจเมืองไทยและกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัว ในแง่ดีคือทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น คนอยากลงทุนแฟรนไชส์ก็มีตัวเลือกมากขึ้น แต่อาจมีผลกระทบกับแฟรนไชส์ซอที่หากไม่แข็งแกร่งจริง ไม่มีการปรับตัว ก็อาจสู้ในระยะยาวไม่ได้ สิ่งสำคัญคือแฟรนไชส์ไทยควรสร้างธุรกิจหรือสินค้าที่มีความยั่งยืน มีความคุ้มค่าให้คนลงทุนรู้สึกว่าน่าสนใจลงทุนในระยะยาว รวมถึงต้องวิเคราะห์การลงทุนให้ดี อย่าลงทุนสินค้าตามกระแส อย่าแข่งกันที่ราคาแต่ให้แข่งกันที่คุณภาพมากกว่า
 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
606
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
500
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
475
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
419
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
406
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
405
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด