บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
270
4 นาที
24 ธันวาคม 2568
อวสานรายการเด็ก กำไรน้อย ไม่คุ้มค่าลงทุน
 

ความทรงจำของคนไทยหลายช่วงวัย คงจะไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงความสำคัญของ "รายการเด็ก" ยุคเฟื่องฟูที่สุดของรายการเด็กไทยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2525-2550 ในสมัยนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่รายการสำหรับความเพลิดเพลิน แต่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อการพัฒนาสมอง ทักษะ และจิตใจของเด็กอย่างแท้จริง 
 
แต่ปัจจุบัน สถานการณ์ของรายการเด็กในประเทศไทยกลับดูเหมือนกำลังเข้าสู่ยุค "อวสาน" หรือบางคนก็บอกว่า ไม่ใช่แค่อวสานแต่คือตายไปจากเมืองไทยตั้งนานแล้วต่างหาก
 
ยุคทองของ “รายการเด็ก” ความทรงจำที่ยังไม่ลืม
 
ภาพจาก https://citly.me/oRslE

หากมองกันตามข้อเท็จจริงวงการโทรทัศน์ไทยตั้งแต่ยุคเก่าที่มีช่อง 4 บางขุนพรหม จนมาถึงยุคดิจิทัล พบว่ารายการเด็กอยู่ในภาวะที่เรียกว่าทรงกับทรุดมาโดยตลอดอาจมีบางช่วงเวลาที่เหมือนจะดี แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาฉาบฉวยและไม่เคยจีรังยั่งยืนได้ยาวนาน 
 
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้โดยเฉพาะคนวัย 40+ ที่ยังจดจำภาพในวัยเด็กได้ชัดเจนทุกเช้า เราจะรีบตื่นนอน อาบน้ำ แปรงฟัน เพื่อมาดูรายการเด็ก เนื้อเพลงประจำรายการอย่าง “อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส” จากรายการเจ้าขุนทองทางช่อง 7 เรายังจำได้ไม่ลืม 
 
และเป็นเหมือนเสียงนาฬิกาปลุกของเหล่าเด็กน้อยให้ตื่นขึ้นมาเติมพลังความสดใส พร้อมรับสาระความรู้ และความสนุกไปกับหุ่นมือสารพัดสัตว์ก่อนออกจากบ้านไปโรงเรียน หรือรายการอย่าง "สโมสรผึ้งน้อย" ที่ออกอากาศทางช่อง 5 และ รายการ "เด็กดี" ที่ออกอากาศทางช่อง 9 รายการเหล่านี้ไม่ได้มีแค่เพลงและการ์ตูน แต่ยังมีช่วงสอนภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการประดิษฐ์ รวมถึงการปลูกฝังคุณธรรม และยังมีอีกหลายรายการมากๆที่ทุกวันนี้เรายังจำกันได้ไม่รู้ลืมเช่น
  • เทเลทับบีส์ ทางช่อง 7 ออกอากาศระหว่างปี 2545 – 2548
  • ฮิวโก้เกม ทางช่อง 7 ออกอากาศระหว่างปี 2539 – 2540
  • กล้วยหอมจอมซน ออกอากาศทางช่อง 7 ออกอากาศระหว่างปี 2549 – 2552
  • ทุ่งแสงตะวัน ออกอากาศทางช่อง 11 เมื่อปี 2534 และย้ายมาช่อง 3 ตั้งแต่ปี 2535 (ปัจจุบันยังมีรายการอยู่)
  • ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4 ทางช่อง 3 ที่ออกอากาศระหว่างปี 2550 -2553 
  • ดิสนีย์คลับ ทางช่อง 7 ออกอากาศระหว่างปี 2535 – 2564
  • เกมทศกัณฐ์เด็ก ทางช่อง 23 (เวิร์คพอยท์ ทีวี) ออกอากาศระหว่างปี 2547 – 2551
  • สู้เพื่อแม่ ทางช่อง 23 (เวิร์คพอยท์ ทีวี) ออกอากาศระหว่างปี 2548 – 2550
  • ซูเปอร์จิ๋ว ทางช่อง 9 ระหว่างปี 2534 – 2558 และย้ายมา ช่อง 23 (เวิร์คพอยท์ ทีวี) ปี 2558 – 2559 พอมาถึงปี 2560 เปลี่ยนชื่อรายการเป็น ซูเปอร์เท็น
  • ช่อง 9 การ์ตูน ออกอากาศครั้งแรกปี 2523 จนมาถึงยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังมีรายการเด็กที่น่าสนใจอีกมากที่เราอาจจะกล่าวได้ไม่หมด ก็คงจะเป็นยุคที่เฟื่องฟูจริงๆ ตอกย้ำจากเรตติ้งรายการเด็กวันเสาร์-อาทิตย์ สูงลิ่วถึง 10–20 ในยุคที่ทีวีมีแค่ 5–7 ช่อง และเด็กๆไม่ได้รู้จักแค่การ์ตูนแต่ยังคุ้นเคยกับพิธีกรในแต่ละรายการถึงขนาดที่มีการจัดคอนเสิร์ตเด็ก มีแฟนคลับเด็ก มีของเล่นลิขสิทธิ์จากรายการ มีกิจกรรมตามห้างสรรพสินค้ากันอย่างครึกครื้น
 
สาเหตุที่ทำให้ “รายการเด็ก” ค่อยๆ หายไป
 
ภาพจาก https://citly.me/K6wgU

ข้อมูลน่าสนใจ ที่เก็บรวบรวมโดย กสทช. ระบุว่าในปี 2558 ยังมีรายการสำหรับเด็กอยู่ประมาณ 700 รายการ แต่ในปี 2563 เหลือเพียง 200 รายการ มาจนถึงปัจจุบันคือ 2568 มีรายการเด็กเหลือน้อยมาก อาจไม่ถึง 20 รายการ แต่ก็เป็นตัวเลขในเชิงปริมาณแต่ถ้าพูดถึงคุณภาพเมื่อเทียบกับสมัยก่อนถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและไม่ค่อยได้รับความนิยมจากเด็กและเยาวชนมากนัก
 
ย้อนไปดูว่าช่วงปี 2540 ที่มีวิกฤต IMF รายการเด็กที่คนไทยผลิตเองหายไปเกือบหมด คนที่ยังทำอยู่ก็ต้องใช้เงินตัวเองในการทำรายการด้วยตัวเอง การหาสปอนเซอร์มาสนับสนุนก็ยากแสนยากเพราะส่วนใหญ่มองว่ารายการเด็กไม่สร้างรายได้ ถ้าลงทุนไป ก็เหมือนทำบุญ มันแสดงให้เห็นถึงวิธีคิดของสังคมไทย ที่มองข้ามเรื่องของ เด็กๆ มาโดยตลอด 
 
แม้จะมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องของสื่อสำหรับเด็กมาตั้งแต่ปี 2522 ที่มีการจัดประชุมเรื่องแนวทางการพัฒนารายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก มาช่วยกันคิด ช่วยกันออกแบบ ว่าจะทำอย่างไรให้โทรทัศน์สำหรับเด็กพัฒนาขึ้นได้ และมีสื่อเด็กที่มีคุณภาพมากขึ้น แต่มันก็เป็นแค่แนวทาง เพราะในความเป็นจริงไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติใช้ให้เกิดผลจริงสักเท่าไร ถ้าให้ไปไล่เรียงเอาแบบเห็นภาพชัดๆ สาเหตุที่ทำให้รายการเด็กค่อยๆทยอยหายไปก็มีอีกหลายสาเหตุร่วมด้วยเช่น

1.การมาของทีวีดิจิทัลปี 2557
 

ภาพจาก https://app.envato.com

ช่องเด็กโดยเฉพาะ เช่น Kids TV, Kiddy Station เกิดขึ้นมาเกือบ 10 ช่อง แต่ส่วนใหญ่เน้นการ์ตูนล้วน ๆ ไม่มีรายการที่เด็กเป็นพิธีกรหรือเนื้อหาที่น่าสนใจแถม งบโฆษณาของเล่นและสินค้าเด็กถูกกระจายไปหลายช่อง รายได้ต่อช่องจึงน้อยลงมาก ยิ่งกว่านั้นช่องที่เคยให้ความสำคัญกับรายการเด็กอย่าง 3, 7, 9 เริ่มลดช่วงรายการเด็กลง เพราะเรตติ้งแพ้ละครและเกมโชว์ผู้ใหญ่
 
2.การมาของ YouTube และ Streaming
 
เด็กไทยเปลี่ยนไปดู YouTube ตั้งแต่อายุ 3–4 ขวบ คอนเทนต์เด็กต่างประเทศ อย่าง Ryan’s World, Like Nastya, Vlad & Niki มีงบมหาศาล ผลิตวันต่อวัน และพ่อแม่ยอมจ่าย Netflix, Disney+ เพื่อให้ลูกดูการ์ตูนพากย์ไทยคุณภาพสูง แทนที่จะรอรายการทีวีสัปดาห์ละครั้ง
 
3.ค่าผลิตสูงแต่รายได้ต่ำ
 
รายการเด็กต้องใช้พิธีกรเด็ก ซึ่งก็โตเร็ว ทำงานได้ 3-5 ปี ก็ต้องเปลี่ยนพิธีกรใหม่ ต้องมีทีมครู นักจิตวิทยาเด็ก กุมารแพทย์ดูแลเนื้อหา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพงมาก และยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อผู้ลงโฆษณา อย่างแบรนด์ ขนม นม ของเล่น เริ่มย้ายงบไปโฆษณาใน YouTube ที่เจาะกลุ่มแม่และเด็กได้แม่นยำกว่า
 
4.กฎระเบียบที่เข้มงวด
 

ภาพจาก https://app.envato.com

ในปี 2554–2560 กสทช. ออกกฎคุ้มครองเด็กเข้มข้นมาก เช่น ห้ามโฆษณาอาหารขยะในช่วงรายการเด็ก ทำให้ผู้ลงโฆษณาลดน้อยลงยิ่งขึ้นไปอีก รายการเด็กที่เหลือเลยขาดรายได้หลักทันที
 
แม้ในตอนที่เปลี่ยนผ่านเป็นทีวีดิจิทัล กสทช. ได้ออกประกาศเรื่อง ‘หลักเกณฑ์การจัดทําผังรายการสําหรับการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ โดยขอให้มีเวลาอย่างน้อย 60 นาที ให้รายการสำหรับเด็ก เหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่ลืมตาอ้าปากมาได้อีกครั้ง 
 
แต่ในที่สุดก็เรียกได้ว่าเป็นการติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก เพราะแม้ทีวีหมวดหมู่เด็กจะเก็บค่าใบอนุญาตต่ำกว่าช่องอื่นๆ แต่ก็ยังต้องใช้เงินอยู่ดี และไม่ค่อยมีนักลงทุนคนไหนที่จะสนใจเป็นสปอนเซอร์ รายการเด็กจึงเป็นแค่โมเดลที่คนพูดถึงแต่สุดท้ายก็ไม่ได้สานต่อและทยอยหายไปเรื่อยๆ 
 
ตัวเลขน่าตกใจ เด็กไทยหันไปสนใจคอนเทนต์จากโซเชี่ยลมากขึ้น
 
ภาพจาก https://citly.me/LBVRp

ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำให้เด็กๆ เข้าถึงได้ง่ายการดูคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียอย่าง YouTube และ TikTok จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมยามว่าง แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เด็กไทย 
 
โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่เกิดหลังปี 2540 และ Gen Alpha (ผู้ที่เกิดหลังปี 2553) กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคสื่ออย่างรวดเร็ว จากรายการทีวีและหนังสือ ไปสู่คลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา สะท้อนได้จากตัวเลขที่น่าตกใจคือ
  • 99% ของ Gen Z (อายุ 12-27 ปี) มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและมือถือ
  • เด็กไทยใช้เวลากับหน้าจอเฉลี่ย 5-6 ชั่วโมงต่อวันมากกว่าคำแนะนำของ WHO ที่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีไม่เกิน 1 ชั่วโมง
  • 78% ของ Gen Z ใช้ TikTok เป็นประจำ เพราะชอบคอนเทนต์สั้น ๆ สนุก ๆ เช่น การเต้นรำ ชาเลนจ์ หรือรีวิวของเล่น
  • 53% ของ Gen Z ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิตจากโซเชียลมีเดีย เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า
  • 58% รู้สึกกดดันจากการเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ บนโซเชียล เช่น "ทำไมเพื่อนมีไลค์เยอะกว่า" หรือ "ทำไมฉันไม่สวยเหมือนในคลิป"
  • 44% ยากต่อการเลิกใช้ และ 18% บอกว่า "เลิกไม่ได้เลย" ทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับ โดยเด็กไทยนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง/คืน ถึง 40%
ตัวเลขเหล่านี้คือผลพลอยได้จากการที่สังคมเปลี่ยนไป รายการเด็กที่เน้นคุณภาพไม่มีให้ดู แต่กลายเป็นโทรศัพท์และอินเทอร์เนตเข้ามาแทนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใหญ่ไม่มีเวลาให้กับเด็ก เด็กจึงสามารถเข้าอะไรก็ได้แบบไม่ถูกจำกัด
 
เด็กอาจได้เห็นอะไรที่ยังไม่เหมาะกับวัยของเขา หรือได้เรียนรู้ค่านิยมว่าทำแบบไหนแล้วจะดัง หรือทำแบบไหนจะได้ยอดวิว ได้เงิน และแม้จะมี YouTube Kids ที่คัดกรองเนื้อหาวิดีโอสำหรับเด็กแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด
 
ในยุคที่ “โทรทัศน์” ไม่ใช่สื่อหลัก “รายการเด็ก” ยังมีโอกาสฟื้นกลับมาแค่ไหน?
 

ภาพจาก https://app.envato.com

เราต้องกลับมาดูว่า “เด็กไม่ดูโทรทัศน์แล้ว” เป็นแค่ความคิดของเราหรือในความเป็นจริงคือโทรทัศน์มันไม่มีอะไรให้น่าสนใจจนไม่มีใครอยากดู เวลาผู้ใหญ่ผลิตรายการเด็ก มักชอบคิดว่าจะสอนอะไร และเอาการสอนมาเป็นตัวนำ ถ้าเราอยากให้เด็กรู้สึกว่ารายการสำหรับเด็กในโทรทัศน์มันสนุกกว่าในโซเชี่ยล ต้องเข้าใจนิสัยและพฤติกรรมของเด็กยุคใหม่ก่อนต้องให้เด็กรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การสอนหรือความพยายามในการยัดเยียดจนเด็กขาดความสนุก
 
อย่างในต่างประเทศสื่อที่เป็นรายการเด็กจะมีการมอบรางวัลที่เปรียบเสมือนกับออสการ์ของรายการเด็ก ชื่อรางวัล Prix Jeunesse การผลิตเนื้อหาต้องเอาเด็กเป็นตัวตั้ง ดูว่าเด็กมีความต้องการและความสนใจอะไร และสำคัญสุดถ้ารายการเด็กจะฟื้นขึ้นมาได้ก็ต้องอยู่ที่ “ผู้ใหญ่” ว่าให้ความสำคัญกับ “อนาคตของชาติ” มากแค่ไหน 
 
การลงทุนในรายการเด็กต้องมองเด็กเป็นจุดศูนย์กลางจริงๆ ต้องสมดุลกับสิ่งที่เด็กสนใจและอยากพัฒนาตัวเองด้วย นโยบายของภาครัฐจึงต้องชัดเจนและมีแผนดำเนินการในเรื่องนี้จริงจังไม่ใช่มองว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ยังไม่เร่งด่วน 
 
ถ้าคิดได้แค่นี้รายการเด็กที่เหลือเพียงน้อยนิดในวันนี้ก็จะหายและกลายเป็นศูนย์ในทันที ทุกอย่างเกิดจากสังคมที่เปลี่ยนแปลง ผนวกกับความคิดของผู้ใหญ่ที่ไม่ได้มองเห็นปัญหานี้อย่างจริงจัง
 
รายการเด็กอาจไม่อวสานเพราะไม่มีเด็กดู แต่จะอวสานเพราะ “ระบบ” ที่ไม่มีใครสนับสนุน ไปถามเด็กรุ่นนี้ในอีก 10 ปีข้างหน้าคงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับรายการเด็กเหมือนเราในยุคก่อน กลายเป็นค่านิยมที่ปลูกฝังกันแบบผิดๆ การจุดประกายให้พื้นที่สื่อสำหรับเด็กกลับมาอีกครั้ง 
 
จึงไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจโทรทัศน์ แต่เป็นภารกิจระดับชาติที่ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับอนาคตของชาติอย่างแท้จริง
 
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
641
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
582
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
534
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
474
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
462
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
455
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด