บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
2.3K
2 นาที
3 สิงหาคม 2560
หมดยุคตุนสินค้า! ธุรกิจสมัยใหม่ต้องใช้กลยุทธ์ “ต้องการเท่าไหร่ ผลิตเท่านั้น”


 
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปการทำธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปด้วยเช่นกัน ในยุคนี้การมีสินค้าในสต็อคเป็นจำนวนมากไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี ในอดีตที่ผ่านมาหลายบริษัทก็มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก มีคำกล่าวว่าสินค้าที่อยู่ในโกดังก็ยังเป็นแค่ต้นทุนที่เราต้องแบกรับหากเราไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินเข้ามาสู่บริษัทได้ นั่นคือความจริงที่การทำธุรกิจยุคนี้ต้องใช้วิธีแบบต้องการเท่าไหร่ก็ผลิตเท่านั้นเพื่อควบคุมสมดุลด้านรายรับและรายจ่ายให้ลงตัวพอดีกัน
 
ทั้งนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com ขอนำเสนอแนวทางการทำธุรกิจในยุคใหม่แบบต้องการเท่าไหร่ผลิตเท่านั้นมาอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนกับ 5 เหตุผลว่าทำไมการตุนสต็อคสินค้าถึงเป็นการทำที่เสี่ยงต่อการขาดทุนได้มากกว่าจะสร้างกำไรให้กับธุรกิจ
 
5 เหตุผลสำคัญทำไมการตุนสต็อคสินค้าถึงไม่ดีในยุคนี้

1.เพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น


 
ไม่ใช่เรื่องดีแน่ในยุคนี้หากมีสินค้าอยู่ในโกดังโดยที่ยังไม่ได้แปลงให้เป็นรายได้ ในสมัยก่อนอาจจะเป็นวิธีการที่ใช่กับการมีสินค้ามากๆเพื่อให้ตอบสนองลูกค้าได้ทันทีแต่สมัยนี้คือความเสี่ยงเต็มๆที่มีผลกระทบหลายเรื่องด้วยกันทั้งปัญหาความผันผวนของตลาดที่ไม่แน่นอน ราคาวัตถุดิบที่แปรผัน ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาในเรื่องการบริหารเงินสดสำหรับธุรกิจ

รวมไปถึงภาคธนาคารเองก็ดูจะไม่นิยมกับการกักตุนสินค้าไว้เยอะเพราะพิจารณาแล้วว่าไม่เกิดรายได้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้การตลาดยุคใหม่อาจต้องใช้วิธีที่เรียกว่า Just In Time คือ สั่งเท่าไหร่ก็ผลิตเท่านั้นนำเข้าวัตถุดิบเท่านั้น จะทำให้เกิดสมดุลด้านรายรับและรายจ่ายรวมถึงลดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ได้ดีกว่าด้วย
 
2.สถาบันการเงินก็ปล่อยเงินกู้ให้ธุรกิจยากขึ้น

 
อย่างที่กล่าวไปว่าหนึ่งในเหตุผลที่สถาบันการเงินมีความกังวลเมื่อปล่อยสินเชื่อเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs คือการนำเงินสินเชื่อนั้นไปใช้ ผิดวิธี เช่น นำเงินไปใช้ในเรื่องนอกธุรกิจ โดยพฤติกรรมของผู้ประกอบการที่ธนาคารมักพบเป็นประจำคือการขอสินเชื่อเพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจากผู้ผลิตมากักตุนไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นวิธีการทำธุรกิจของคนจีนสมัยโบราณที่มีค่านิยมในการทำธุรกิจว่าถ้าลูกค้าต้องการสินค้าต้องหามาให้ได้ทันที เช่นที่เราอาจได้เห็นจากร้านโชห่วยสมัยก่อน
 
แนวทางการกักตุนสินค้าไว้เกินความจำเป็นนี้จึงถือเป็นการขาดโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อหมุนเวียนในครั้งต่อไป เนื่องจากธนาคารจะนำสินค้าคงค้างมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้แต่ไม่สามารถจะค้ำประกันได้ซ้ำสองครั้งถ้าหากยังไม่ชำระคืนเงินกู้งวดแรก ทำให้ผู้ประกอบการอาจขาดสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราวด้วย
 
3.แบกรับกับความผันผวนทางการตลาดที่ไม่แน่นอน

 
นอกเหนือจากความเสี่ยงที่จะไม่สามารถขายสินค้าได้หมดจนเป็นภาระที่ต้องจัดการในอนาคต ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของราคาวัตถุดิบหรือราคาสินค้าที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งราคาในท้องตลาดอาจมีความผันผวนสูง บางครั้งราคาที่เราสั่งสต๊อกเข้ามาเมื่อสามเดือนที่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปราคาอาจจะตกลงทำให้ไม่สามารถขายต่อในราคาตลาดได้อีก
 
หรือสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงในการ ตกรุ่น ในเวลารวดเร็ว ถ้าหากสั่งเข้ามาจำนวนมากเกินความต้องการของตลาด อาจทำให้ผู้ประกอบการต้องบันทึกค่าเสื่อมราคาสินค้าลงไปในบัญชี มีผลทำให้งบการเงินออกมา ขาดทุน ก็เป็นได้
 
4.สร้างปัญหาในการบริหารเงินสดให้เกิดขึ้น

 
ปัจจุบันแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก ปัญหาที่พบเจอสำหรับ SMEs คือขายสินค้าได้จำนวนมากแต่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้หมุนเวียนหรือจ่ายเงินเดือนพนักงาน เนื่องจากมีวันจ่ายเช็คออกไปให้คู่ค้ามากกว่าวันรับเช็คจากคู่ค้า ทำให้กระแสเงินสดไหลเข้าและไหลออกไม่สมดุลกัน  ผลคืองบกระแสเงินสดอาจออกมาติดลบ
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานบัญชีใหม่ที่นำมาใช้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บังคับให้ต้องบันทึกกำไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าหรือวัตถุดิบที่มีอยู่ในสต๊อกทุกไตรมาสทำให้ผล
 
ประกอบการของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อ-ขายสินค้าโภคภัณฑ์อาจเหวี่ยงขึ้นลงตามราคาในตลาดโลก แม้ว่าถ้าราคาตีกลับขึ้นมาก็จะสามารถบันทึกส่วนที่ขาดทุนทางบัญชีกลับมาได้ แต่ก็ไม่คุ้มเสี่ยงที่จะสต๊อกสินค้าจำนวนมาก
 
นอกจากนี้ ถ้าหากใช้สินเชื่อหมุนเวียนกับการสั่งสินค้ามาสต๊อกไว้มากๆ โดยที่ไม่สามารถขายกลับออกไปเพื่อนำกระแสเงินสดกลับมาสู่บริษัทได้ ถือว่าเป็นต้นทุนที่สูญเปล่าอย่างมาก ไม่นับการแก้ไขปัญหาของบางรายที่ต้องหันไปกู้เงินนอกระบบมาทีเดียว
 
5.ทำให้ต้นทุนตัวเองสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น

 
กรณีศึกษาของบริษัทที่เคยมีปัญหากับการบริหารจัดการต้นทุนของการสต๊อกสินค้านั่นคือ บริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ โดยสมัยก่อนบริษัทเคยมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองและมีการเร่งผลิตเพราะได้สั่งซื้อวัตถุดิบเข้ามาจำนวนมากเนื่องจากได้ราคาถูกและตอนนั้นยังไม่มีระบบการจัดจำหน่ายที่ดีพอ ทำให้ต้องผลิตคอมพิวเตอร์แมคอินทอชจำนวนมากมาสต๊อกเก็บไว้

ผลคือต้นทุนการจัดเก็บดูแลรักษาขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ขณะที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ประกอบกับคู่แข่งมีการผลิตสินค้าอื่นที่ได้รับความนิยมกว่าทำให้แอปเปิลในเวลานั้นต้องสูญเสียอัตราการทำกำไรจำนวนมากและไม่สามารถระบายสินค้าออกได้
 
สิ่งที่สตีฟ จอบส์ แก้ไขในเวลานั้นคือ การเชิญ ทิม คุ๊ก ซึ่งเป็นซีอีโอในปัจจุบันมารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) เขาตัดสินใจสั่งปิดโรงงานผลิตและโรงงานสต๊อกสินค้าเพื่อที่จะโอนไลน์ผลิตทั้งหมดไปยัง Out Source ทั้งหมดในประเทศจีน ผลที่ตามมาคือ แอปเปิลสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ไม่มีหนี้สินคงค้างและกระแสเงินสดในบริษัทก็ไหลเวียนได้ดีขึ้นเป็นลำดับด้วย
 
การบริหารจัดการในยุคใหม่มีความสำคัญมากใครที่ยังยึดติดกับแนวคิดแบบเดิมๆ ทำธุรกิจแบบเดิมๆควรคิดที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางให้สอดคล้องกับความจริงที่เกิดขึ้น  

แม้ในอดีตเราจะเคยประสบความสำเร็จกับวิธีเดิมๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีเก่าๆจะใช้ได้ผลกับยุคใหม่บางครั้งการหยุดที่จะก้าวตามการเปลี่ยนแปลงในกระแสธุรกิจก็เท่ากับเป็นการฆ่าธุรกิจตัวเองทางอ้อมซึ่งเรื่องพวกนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดกับธุรกิจของตัวเองเป็นแน่
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
จับเทรนด์ยุคใหม่ เลิกกลัว AI แย่งงาน แต่ให้กลัวค..
2,790
รวมธุรกิจเสือลำบาก ปี 2567/2024 โหดจัด ไปไม่รอด!
1,395
โหดจัด! ฟาสต์ฟู้ดจีน ไล่แซงแบรนด์ตะวันตก
700
เศรษฐกิจทรุดครึ่งปี! เลิกจ้างงานนับหมื่น บริษัทฯ..
634
รวมวิธีคิดเหนือชั้นทำให้รู้ว่า “ธุรกิจติดตลาด” ห..
560
10 ไอเดียแคมเปญโปรโมชั่น ร้านอาหาร เพิ่มยอดขาย ฉ..
489
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด