บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
266
5 นาที
27 พฤศจิกายน 2568
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจลูกค้า


ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคใช้ในการจับจ่ายใช้สอยซื้ออาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ 
 
ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภค เพราะมีรูปแบบการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ทั้งการจำหน่ายสินค้าแบบชิ้นเดียว ชิ้นใหญ่ และขายแบบแพ็คส่ง จึงไม่แปลกที่จะทำให้ธุรกิจประเภทนี้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้บริโภค 
 
ขณะเดียวกัน จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการมองหาความคุ้มค่าและความสะดวกสบาย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านกลยุทธ์ทางการตลาดและการตั้งราคาของร้านค้าปลีก-ค้าส่ง เพื่อดึงดูดและรักษาฐานลูกค้าเอาไว้
 
รู้หรือไม่ว่าในปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่ามูลค่าธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งในประเทศไทย อยู่ที่ราวๆ 4.4 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนมูลค่าใน GDP สูงเป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 16% ของมูลค่ารวมเศรษฐกิจทั้งประเทศ
 
ในบทความนี้ จะเล่าถึงกลยุทธ์การตั้งราคาขายสินค้าของร้านสะดวกซื้อ CJ Express ทำไมถึงครองใจลูกค้า ชนะทุกร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย  
 
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับรูปแบบของการดำเนินธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งในประเทศไทย ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบมีลักษณะการดำเนินงานแตกต่างกัน โดยเริ่มจาก
 
ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก (Grocery Store / Food Retailer)
 

ร้านโชห่วยหรือร้านขายของชำที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี ขายสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในชุมชนและมีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากกว่าร้านค้าปลีกประเภทอื่นๆ 
 
ร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง (Specialty Store)
 
ร้านค้าที่เน้นจำหน่ายสินค้าเฉพาะเจาะจงบางประเภท เช่น ร้านเครื่องเขียน ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านเครื่องสำอาง หรือร้านเครื่องดนตรี โดยมีความเชี่ยวชาญในสินค้าเฉพาะทาง เช่น วัตสัน ซูเปอร์สปอร์ต, พาวเวอร์บาย 
 
ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store)
 

ร้านค้าที่มีสินค้าและบริการครบครัน มักเปิดให้บริการเป็นเวลานาน หรือ 24 ชั่วโมง จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน จำพวกอาหาร ของกิน ของใช้ เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น, โลตัสโกเฟรซ, บิ๊กซีมินิ, ลอว์สัน 108, ท็อปส์ เดลี่, ซีเจมอร์ 
 
มินิมาร์ท (Mini Mart)
 
ร้านค้าขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมัน อาคารสำนักงาน หรือหอพัก เน้นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน คล้ายๆ กับร้านสะดวกซื้อ ซึ่งปัจจุบันอาจจะมีให้เห็นไม่มากนัก จากการรุกพื้นที่ของร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่เปิดสาขาใกล้เคียง    
 
ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket)
 

ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เน้นจำหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง และของใช้ในครัวเรือน เช่น ท็อปส์ วิลล่ามาร์เก็ต ฟู้ดแลนด์ จำหน่ายสินค้าค่อนข้างสูงกว่าร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างโลตัส บิ๊กซี แต่เน้นจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ
 
ห้างสรรพสินค้า (Department Store)
 
ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ แบ่งพื้นที่เป็นแผนกสินค้าต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องสำอาง อาทิ เซ็นทรัล, โรบินสัน และเดอะมอลล์
 
ร้านค้าปลีก–ส่งขนาดใหญ่ (Discount Store / Hypermarket / Wholesaler)
 

ร้านค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ที่จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท ครอบคลุมทุกการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงร้านอาหาร โรงแรม การจัดเลี้ยง ราคาประหยัด เช่น บิ๊กซี เทสโก้ โกโฮลเซลล์ โลตัส และแม็คโคร
 
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ที่กำลังได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศไทย กลายเป็นรูปแบบธุรกิจค้าปลีกที่สำคัญเข้ามาแข่งขันในตลาดกับร้านค้าปลีกดั้งเดิมและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ โดยผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง ก็สามารถขายสินค้าและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง และมีความสะดวกสบายมากขึ้น   
 
การตั้งราคาขายสินค้าของร้านสะดวกซื้อที่นิยมใช้ในต่างประเทศ 
 
ในยุคที่การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกทวีความรุนแรง ร้านค้าโดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อจำเป็นต้องเลือกใช้กลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ทั้งกำไรและสร้างความคุ้มค่าแก่ลูกค้า จากรายงานพบว่าโมเดลการตั้งราคาขายสินค้าร้านสะดวกซื้อในต่างประเทศมี 8 แนวคิดหลักๆ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยแต่ละแบบมีจุดแข็ง–จุดอ่อนแตกต่างกัน 
 
1. Cost-Plus Pricing บวกเปอร์เซ็นต์กำไรจากต้นทุน 
 
เป็นวิธีดั้งเดิมที่สุดในการตั้งราคาด้วยการ “บวกกำไร” คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากต้นทุน เช่น สินค้าต้นทุน 20 บาท หากตั้งกำไร 40% จะขายได้ราคา 28 บาท วิธีนี้นิยมใช้อย่างแพร่หลายในญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป เพราะคำนวณง่ายและควบคุมกำไรได้ชัดเจนมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับสินค้าพื้นฐานทั่วๆ ไป เช่น น้ำดื่ม ของกิน หรือขนมทั่วไป
 
วิธีการตั้งราคาแบบนี้ยังมีจุดอ่อน คือ ไม่ได้สะท้อนภาพรวมของตลาด อาจราคาแพงหรือถูกเกินจริงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
 
2. Competitive Pricing ตั้งราคาอิงกับคู่แข่งในตลาด 
 

ร้านสะดวกซื้อในสหรัฐฯ อย่าง 7-Eleven และ Circle K มักใช้กลยุทธ์การขายแบบนี้ โดยศึกษาราคาของคู่แข่งในพื้นที่ก่อนตั้งราคาของตัวเอง เช่น หากร้านข้างเคียงขายกาแฟ 2 ดอลลาร์ ร้านเราอาจตั้งราคาไว้ที่ 1.90–2.00 ดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านความรู้สึกให้ลูกค้า “คุ้มกว่าเล็กน้อย” การอิงราคาคู่แข่งขัน จึงกลายเป็นเครื่องมือดึงดูดลูกค้าในพื้นที่เดียวกัน
 
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดคือธุรกิจอาจได้กำไรต่อหน่วยลดลง และเสียโอกาสในการเอาชนะใจลูกค้าด้วยคุณค่าอย่างอื่น
 
3. Value-Based Pricing ตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ
 
ตลาดค้าปลีกในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความสะอาด ความใส่ใจรายละเอียด และประสบการณ์โดยรวม ทำให้หลายๆ ร้านค้าเลือกตั้งราคาแบบ Value-Based คือ ประเมินว่าลูกค้ายอมจ่ายเท่าไหร่ สำหรับคุณค่าของสินค้าที่ได้รับ เช่น เบนโตะหรือข้าวปั้น สะอาด มีภาพลักษณ์ดี สามารถตั้งราคาแพงกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปได้
 
ข้อดีคือสามารถทำกำไรได้สูงกว่า แต่ต้องลงทุนกับคุณภาพสินค้าและบริการ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
 
4. Psychological Pricing กลยุทธ์ราคาแบบจิตวิทยา
 

ร้านค้าทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ นิยมใช้เทคนิคกระตุ้นการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลันของผู้บริโภค เช่น ตั้งราคา .99 (1.99 หรือ 2.49) เพื่อให้รู้สึกว่าถูกกว่า ซึ่งการตั้งเลขคี่ หรือโปรโมชัน “ซื้อ 2 ถูกกว่า” วิธีนี้สามารถช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ และเพิ่มยอดขายในช่วงระยะเวลาสั้น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะลูกค้าอาจรู้สึกว่าร้านพยายามใช้กลอุบายหลอกลวง
 
5. Bundle Pricing ขายเป็นชุดเพื่อเพิ่มยอดขายต่อบิล
 
ร้านสะดวกซื้อในต่างประเทศนิยมใช้กลยุทธ์การขาย ด้วยการขยายสินค้ารวมเป็นชุดเพื่อเพิ่มมูลค่ารวม เช่น สินค้าประเภทเครื่องดื่ม + ของว่าง หรือ “ซื้อ 2 ชิ้นราคาถูกกว่า” ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ คือ น้ำ 1 ขวดราคา 1.5 ดอลลาร์ แต่ซื้อ 2 ขวดเพียง 2.5 ดอลลาร์ ทำให้ลูกค้าอยากเพิ่มจำนวนการซื้อโดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการถูกบังคับ
 
ข้อดีของกลยุทธ์นี้ ช่วยผลักดันยอดขายเฉลี่ยต่อบิลขึ้นเพิ่มสูงขึ้น แม้จะมีกำไรต่อหน่วยลดลงบ้างก็ตาม
 
6. Dynamic Pricing ราคายืดหยุ่นตามเวลาและสถานการณ์
 

ร้านค้าบางแห่งในสหรัฐฯ เริ่มปรับราคาตามช่วงเวลา เช่น ลดราคาอาหารสดใกล้เวลาปิดร้าน เพื่อระบายของสด หรือปรับราคากาแฟในช่วงโลว์ เพื่อดึงลูกค้าเข้าร้านในเวลาที่คนน้อย นอกจากนี้สินค้าที่เหลือน้อยอาจถูกปรับขึ้นเล็กน้อยเพื่อจัดการสต็อก
 
ข้อดีของกลยุทธ์นี้ คือช่วยลดของเสีย และเพิ่มกำไรในภาพรวม แต่ต้องมีระบบบริหารราคาและข้อมูลแบบเรียลไทม์
 
7. Loss Leader Pricing ขายสินค้าขาดทุน ดึงดูดลูกค้าเข้าร้าน
 
ร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่หลายแห่งในอเมริกา ใช้วิธีการขายสินค้าราคาถูกในบางรายการ เช่น น้ำดื่มหรือกาแฟบางขนาด เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เดินเข้ามาในร้าน เมื่อลูกค้าเข้ามาแล้วจะมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าอื่นๆ ที่มีกำไรสูงกว่าเพิ่มขึ้นด้วย กลยุทธ์นี้จึงเน้นปริมาณและความถี่ในการเข้ามาใช้บริการในร้านของลูกค้ามากกว่ากำไรจากสินค้าชิ้นเดียว
 
8. Local Pricing ปรับราคาให้เหมาะสมกับพื้นที่
 

ในหลายประเทศมีการกำหนดราคาตามโซน เช่น ย่านท่องเที่ยวราคาขายจะแพงกว่า เนื่องจากต้นทุนสูงและลูกค้ายอมจ่ายมากกว่า ขณะที่ชานเมืองขายราคาย่อมเยา เช่น หน้าสถานีรถไฟในญี่ปุ่น มักตั้งราคาสูงขึ้น เพราะเป็นจุดที่คนสัญจรผ่านไปมาจำนวนมาก กลยุทธ์นี้ช่วยให้ร้านค้าสามารถวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนและกำลังซื้อในแต่ละพื้นที่ได้ดีกว่า 
 
กลยุทธ์ตั้งราคาขายสินค้าร้านสะดวกซื้อ CJ Express 
 
สังเกตหรือไม่ว่า ปัจจุบันร้านค้าปลีกประเภท Hypermarket อย่างบิ๊กซี โลตัส แม็คโคร มักจะขายสินค้าในราคาถูกกว่าร้านค้าปลีกทั่วไป โดยเฉพาะร้านค้าปลีก Supermarket จะขายสินค้าราคาแพงกว่า Hypermarket 
 
ส่วนร้านสะดวกซื้อ หรือ Convenience Store ไม่ว่าจะเป็น 7-Eleven, Big C Mini, Lotus's go fresh, Tops Daily ขายสินค้าราคาถูกหรือบางรายการเท่าๆ กับ Supermarket
 
แต่ร้านสะดวกซื้อ CJ Express ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นทั้งร้านค้าปลีก-ค้าส่ง มักขายสินค้าบางรายการราคาเท่ากับ 7-Eleven ขณะเดียวกันยังตั้งราคาขายสินค้าหลายรายการ และทำโปรโมชันแข่งขันกับ Hypermarket กลุ่มบิ๊กซี โลตัส แม็คโคร อีกด้วย 
 
CJ Express ตั้งราคาขายสินค้าอย่างไร
1. กลยุทธ์ตั้งราคาแบบไฮบริด (Hybrid Pricing Strategy)
 

CJ เลือกใช้รูปแบบการกำหนดราคาที่ผสมผสานระหว่างร้านสะดวกซื้อ กับ Hypermarket โดยตั้งราคาขายตามกลุ่มสินค้าแต่ละประเภท สินค้าบางรายการตั้งราคาเทียบเท่า 7-Eleven เพื่อรักษาความสามารถแข่งขันในตลาดร้านสะดวกซื้อ ขณะที่สินค้าบางกลุ่มตั้งราคาใกล้เคียงกับ Hypermarket เช่น บิ๊กซี โลตัส หรือแม็คโคร 
 
ทำให้ CJ สามารถแข่งขันในเซ็กเมนต์สินค้าราคาประหยัดได้ด้วย กลยุทธ์ตั้งราคาแบบนี้ส่งผลให้ CJ มีความยืดหยุ่นในการแข่งขัน และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. กลยุทธ์ร้านค้าปลีก–ค้าส่งในรูปแบบ Compact (Compact Wholesale–Retail Strategy)
 
แม้ CJ จะมีเอกลักษณ์และขนาดร้านใกล้เคียงร้านสะดวกซื้อทั่วไป แต่กลับนำแนวคิดของร้านค้าส่งมาประยุกต์ใช้ในร้านค้าที่ขนาดเล็กด้วยการจำหน่ายสินค้าแบบยกแพ็ค การจัดโปรโมชันแบบซื้อ 1 แถม 1 ช่วยลดราคาต่อหน่วยเมื่อซื้อจำนวนมาก 
 
กลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มครัวเรือนทั่วไป แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย เช่น ร้านอาหาร ร้านโชห่วย และผู้บริโภคจำนวนมากในชุมชนระแวกใกล้เคียง ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไปมักไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างเต็มที่
 
3. กลยุทธ์การแข่งขันกับ Hypermarket ผ่านโปรโมชัน (Competitive Promotion Strategy)
 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ตั้งราคาขายสำคัญของ CJ คือ การใช้โปรโมชันระดับเดียวกับ Hypermarket เช่น โปรรายสัปดาห์ “7 วันลดกระหน่ำ” รวมถึงส่วนลดเชิงปริมาณและราคาพิเศษสำหรับสมาชิกสบายการ์ด  
 
การทำโปรโมชันในลักษณะนี้ทำให้ CJ สามารถดึงดูดและช่วงชิงลูกค้าบางส่วนจากร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าราคาถูก แต่ไม่สะดวกเดินทางไปห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านและเพิ่มยอดการซื้อเฉลี่ยต่อครั้งของกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
4. กลยุทธ์วางตำแหน่งทางการตลาดแบบก้ำกึ่ง (Hybrid Positioning Strategy)
 
ด้วยกลยุทธ์การขายที่หลากหลายของ CJ จึงวางตำแหน่งทางการตลาดให้อยู่กึ่งกลางระหว่างร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีกแบบ Hyper และร้านค้าส่งระดับชุมชน ช่วยให้ CJ สามารถตั้งราคาขายได้แบบเดียวกับร้าน 7-Eleven มีสินค้าราคาประหยัดและโปรโมชันจำนวนมากเหมือนร้าน Discount Store และยังมีรูปแบบการขายยกแพ็คที่คล้ายกับร้านค้าส่งอย่าง Makro 
 
ส่งผลให้ CJ สามารถเจาะตลาดได้กว้างมากขึ้น ทั้งกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่เน้นความสะดวก ผู้ประกอบการที่เน้นปริมาณ ตลอดจนกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าจากราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

CJ เดินหน้ากลยุทธ์แพ็คคู่ 7-Eleven  
 

ปัจจุบัน CJ ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ 7-Eleven เพราะในช่วง 1-2 ปีผ่านมา เรามักจะเห็น CJ เปิดสาขาข้างๆ ร้าน 7-Eleven อย่างต่อเนื่อง ชูสินค้าคุณภาพหลากหลาย ทั้งอุปโภคบริโภค เจาะทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ ผ่าน 3 โมเดลร้านค้าปลีก-ค้าส่ง ไม่ว่าจะเป็น ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ซีเจ มอร์ และ ซีเจ เอ็กซ์  
 
ปัจจุบัน CJ มีจำนวนสาขาทั้งหมด 1,560 สาขาทั่วประเทศ ขณะที่ 7-Eleven มีสาขามากถึง 15,453 สาขา ถือว่าห่างกันค่อนข้างมาก แต่กลยุทธ์ขยายสาขาของ CJ เปรียบเสมือนเป็นเงาของ 7-Eleven ไปไหนไปด้วยกัน 
 
แม้หลายคนมองว่าการแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่อย่าง 7-Eleven เป็นเรื่องยาก แต่กรณีของ CJ แสดงให้เห็นว่าการเลือกทำเลที่ตั้งอย่างมีกลยุทธ์สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ โดย CJ มองว่าการเปิดสาขาข้างๆ 7-Eleven ช่วยให้สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับการใช้บริการร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว 
 
ในมุมมองทางการตลาด การที่ร้านค้าประเภทเดียวกันตั้งอยู่ใกล้กัน จะสามารถเสริมสร้างฐานลูกค้าที่มีลักษณะสอดคล้องกัน และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มเดียวกันให้มาเลือกใช้บริการระหว่างทั้งสองแบรนด์มากขึ้น 
 
กลยุทธ์ของ CJ เป็นการอาศัยทำเลที่ 7-Eleven ได้พิสูจน์แล้วว่ามีศักยภาพ ช่วยให้ CJ ลดต้นทุนในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ แม้จะเกิดการแข่งขันเพื่อกินส่วนแบ่งตลาดในพื้นที่ แต่ CJ กลับมองว่าโอกาสที่ทั้ง 2 แบรนด์จะเข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่ได้ดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการนำเสนอสินค้า การให้บริการ และประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่า 

 
รายได้...บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด
  • ปี 2565 รายได้ 35,556 ล้านบาท กำไร 1,772 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 44,464 ล้านบาท กำไร 2,623 ล้านบาท 
  • ปี 2567 รายได้ 59,550 ล้านบาท กำไร 3,858 ล้านบาท 
สรุป กลยุทธ์การตั้งราคาขายของ CJ ถือเป็นการผสมผสานกลยุทธ์ด้านราคา โปรโมชัน และการวางตำแหน่งทางการตลาดในลักษณะไฮบริดทำให้ CJ แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยเฉพาะ 7-Eleven ที่สำคัญยังสามารถแข่งขันกับร้านค้าปลีกประเภทอื่นๆ ได้ด้วย สุดท้ายการสร้างโมเดลร้านสะดวกซื้อที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า เข้าถึงง่าย และดึงดูดลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม ช่วยทำให้ CJ กลายเป็นโมเดลร้านค้าปลีก-ค้าส่ง ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้อย่างโดดเด่น
 
แหล่งข้อมูล
 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
อวสาน E-commerce ไทย? ต่างชาติรุกหนัก ตลาดไทยกำล..
871
อวสานร้านอาหาร! คนทำทยอยเซ้ง คนเจ๊งทยอยขาย
695
ระเบิดเวลา! ประชากรไทย ตายมากกว่าเกิด
651
เศรษฐกิจยังทรุด! 9 แบรนด์ดังไทย-เทศ “ปิดกิจการ-ล..
589
จิตวิทยาตั้งราคา! Psychological Pricing ทำให้ลูก..
497
Ediya Coffee (이디야커피) แฟรนไชส์ร้านกาแฟที่มีชื่อเส..
442
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด